นางสาวณัฐฑี จุฑาวรากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คลาสสิก โกลด์ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางราคาทองคำในปี 56 คาดว่าการพักตัวปรับฐานที่เกิดขึ้นจะจบลงและกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น แต่ในแนวโน้มขาขึ้นย่อมจะมีการพักฐานในระยะสั้นๆเป็นช่วงๆ เมื่อขึ้นชนแนวต้านแล้วไม่ผ่าน ดังนั้น การแกว่งตัวผันผวนในกรอบเคลื่อนไหวขึ้นลง 150-200 เหรียญสหรัฐจึงมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้
และคาดว่าแนวโน้มในระยะยาวยังอยู่ในกรอบแนวโน้มขาขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิม 1,920 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เมื่อผ่านจุดสูงสุดเดิม 1,920 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ได้แล้ว และราคาขึ้นไปเคลื่อนไหวบริเวณกรอบคู่ขนานคู่บน ราคาเป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่บริเวณ 2,000 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ คาดว่าจุดสูงสุดของปี 56 จะอยู่ในช่วงไตรมาส 4
ปัจจัยที่ต้องติดตามในปีหน้าทางโซนเอเชียต้องรอดูสภาวะเศรษฐกิจของจีนและอินเดียว่าจะขยายตัวได้ดีหรือไม่ อาจจะส่งผลต่อความต้องการทองคำ ส่วนทางสหรัฐฯ จับตาดูปัญหา Fiscal cliff จะจบได้เร็วไม่เกินเดือน ม.ค.หรือไม่ และการเลือกใช้วิธีแก้ปัญหานี้จะมีผลอย่างไรบ้างต่อเศรษฐกิจรวมไปถึงเรื่องปัญหาเพดานหนี้สาธารณะจะกลับมาสร้างความยุ่งยากให้กับการออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศเช่นเดียวกับเมื่อคราวก่อนหรือไม่ และนโยบายกระตุ้นและการแสวงหาความร่วมมือกับนานาชาติเพื่อดึงอุปสงค์ต่างชาติที่จะมาช่วยพยุงเศรษฐกิจในประเทศด้วย
ทางด้านฟากฝั่งของยุโรปเองก็มีเรื่องต้องติดตามค่อนข้างเยอะเช่นกัน ทั้งการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ในอิตาลีและเยอรมัน ปัญหาเรื่องวิกฤติหนี้สินในยุโรปทั้งทางด้านสเปนและกรีซว่าต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินหรือไม่ อังกฤษก็ยังอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก ต้องคอยจับตาดูว่ารัฐบาลและแบงค์ชาติจะสามารถใช้มาตรการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
"การลงทุนทองคำในช่วงเวลาที่ราคาทองคำมีความผันผวนนี้ นักลงทุนควรตั้งเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ว่าเราเป็นนักลงทุนระยะสั้น กลาง หรือยาว หากเป็นนักลงทุนระยะยาว ในช่วงที่ราคาทองคำอ่อนตัวลงมาเช่นนี้ ให้ทยอยสะสมที่บริเวณ 1,660 — 1,720 เพื่อทำกำไรในช่วงปลายปีหน้า ซึ่งคาดว่าราคาสามารถกลับไปยืนจุดเดิมที่ 1,800/1,920 ได้ หากเป็นนักลงทุนในระยะสั้น ก็สามารถเล่น Trading ในกรอบ โดยดูแนวรับ แนวต้านในแต่ละวันเป็นสำคัญ ซึ่งราคาทองคำในแต่ละวัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น และลดลง สลับไปมาได้ แต่แนวโน้มระยะยาวคาดว่าจะกลับขึ้นมาเป็น Up Trend อีกครั้งดังนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยง นักลงทุนจึงควรติดตามการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด แ/ละคอย update ว่าทิศทางระยะยาวมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทัน กับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต" นางสาวณัฐฑี กล่าว
ทั้งนี้มองว่า แนวโน้มราคาทองคำในเดือนธันวาคมนี้ ราคาสร้างฐานเหนือ 1700/1690 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ซึ่งแสดงว่าการพักฐานระยะสั้นนี้จบแล้ว และรอการปรับขึ้นไปทดสอบ 1760/1,780/1800 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ อีกครั้ง และมีปัจจัยจากเทศกาล Diwali ของอินเดียเข้ามาหนุนด้วย
“ประเมินว่ากรอบในเดือนธันวาคม ราคาทองคำน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,700 — 1,780 / 1,800 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ แต่ถ้าหลุด 1700/1690 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ไป จะมีแนวรับถัดไปที่ 1680/1670/1650 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งบริเวณ 1650 ดังกล่าว เป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง และถ้ามีการปรับตัวลงมาแนวรับที่ลึกลงมาบริเวณ 1,650-1,630 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ จะทำให้กรอบบนของการขึ้นมีแนวต้านที่บริเวณเส้น MA 9 สัปดาห์ บริเวณ 1,735 — 1,740 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์เท่านั้น ในกรณีนี้คาดว่ากรอบความเคลื่อนไหวในเดือน ธ.ค.อยู่ระหว่าง 1,650 — 1,740/1,760 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์"
ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2555 ที่ผ่านมาราคาทองคำมีการปรับฐานลดลง หลังจากที่ราคาทองคำขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปีนี้ราคาทองคำค่อนข้างผันผวนและประเมินทิศทางได้ยาก กรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ระหว่าง 1,526-1,795 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ โดยมีการลดความร้อนแรงของการเก็งกำไรลงไป หลังจากนั้นได้กลับมาเป็นขาขึ้นในช่วงเดือนก.ย. และทำจุดสูงสุดของปีที่บริเวณ 1,795
ในช่วงต้นเดือนต.ค.ก็เกิดการย่อตัวอีกครั้งตลอดเดือน ต.ค.และมีแนวโน้มเป็น Side way up ในเดือน พ.ย.-ธ.ค. ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาได้ หลังประธานาธิบดีโอบาม่าชนะการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาส่งปัจจัยหนุนให้เบอร์นันเก้และเฟดใช้ QE ได้ต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยจากกรีซเองก็ได้รับมาตรการช่วยเหลือทางด้านหนี้สินที่กำลังเจรจายืดเยื้อระหว่าง EU และ IMF