สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB196A (อายุ 6.5 ปี) LB176A (อายุ 4.6 ปี) และ LB155A (อายุ 2.5 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 12,067 ล้านบาท 10,018 ล้านบาท และ 7,791 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB12D18A (อายุ 14 วัน) CB12D27C (อายุ 28 วัน) และ CB13228B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 49,334 ล้านบาท 23,763 ล้านบาท และ 23,280 ล้านบาท ตามลำดับ
ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (TLT138A (AAA)) มูลค่าการซื้อขาย 1,224 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท บ้านปู จำกัด มหาชน รุ่น BANPU214A (AA-) และรุ่น BANPU225A (AA-) มูลค่าการซื้อขาย 812 ล้านบาท และ 719 ล้านบาท ตามลำดับ
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทุกช่วงอายุของตราสารหนี้ ในช่วง +1 ถึง +8 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยปัจจัยที่มีผลต่อตลาดตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่มาผ่านมา มีทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศ เริ่มจากการผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีมติคงอัตราอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75% ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดย กนง.มีความเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป และความเสี่ยงด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจลดลง รวมไปถึงแรงกดดันเงินเฟ้อยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งธปท.ได้ติดตามเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด และพร้อมจะดำเนินนโยบายที่เหมาะสมตามความจำเป็น
ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศนั้น สถานการณ์วิกฤตหนี้ในยุโรปยังคงสร้างความกังวลแก่นักลงทุนต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยนักลงทุนยังคงจับตามองถึงมาตรการความช่วยเหลือทางการเงินแก่กรีซ และปัญหามาตรการทางการคลังของสหรัฐ (Fiscal Cliff) ที่ยังไม่มีข้อสรุปถึงการแก้ปัญหานี้ แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาทั้งจากสหรัฐฯและยุโรปมีแนวโน้มดีขึ้นโดยเฉพาะ ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของปี 2555 ของสหรัฐฯ ที่ขยายตัว 2.7% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ และดัชนี PMI ของยุโรปที่ตัวเลขออกมาดี ส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้การซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้น ในขณะที่ตราสารหนี้ระยะยาวมีการขายออกเพื่อทำกำไรบ้าง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นในทุกช่วงอายุ
ทั้งนี้ ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภทรวมกัน (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) 13,273 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการขายสุทธิ 1,127 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อย (Individual) มียอดซื้อสุทธิ 65 ล้านบาท