นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ SPALI กล่าวว่า ในเดือน พ.ย.-ธ.ค.55 บริษัทได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและใกล้ปิดการขายได้แล้ว ได้แก่ โครงการศุภาลัย ไลท์ สาทร-เจริญราษฎร์ ขณะนี้มียอดขาย 93% หรือ 1.8 พันล้านบาท จากมูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท ทั้งที่เปิดขายไปได้ 3 สัปดาห์ และ โครงการศุภาลัย มอนเต้ @เชียงใหม่ มียอดขาย 1.7 พันล้านบาท
และ ล่าสุด บริษัทเปิดตัวโครงการ ศุภาลัย เอลีท สาทร-สวนพลู มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท จำนวน 180 ยูนิต เริ่มต้น 4.7 ล้านบาท คาดว่าจะขายได้หมดภายในวันเปิดจองซื้อ 15-16 ธ.ค.นี้
ทั้ง 3 โครงการจะมียอดขายรวมมากกว่า 5 พันล้านบาท และเมื่อรวมกับโครงการแนวราบจะมียอดขายมากกว่า 7 พันล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายในไตรมาส 4/55 ทำสถิติสูงสุดในรอบปี และสูงกว่าไตรมาส 3/55 ที่มียอดขายราว 5 พันล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมียอดรอโอน(Backlog)จำนวนกว่า 2.3 หมื่นล้านบาทซึ่งจะทยอยรับรู้ใน 3 ปี โดยในจำนวน 2 ใน 3 เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม
"ไตรมาส 4 ยอดขายเราสูงกว่าไตรมาส 3 มาก ไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านบาท เพราะมียอดขายคอนโดฯ เยอะ ทั้งปี 55 คิดว่ายอดขายเฉพาะบริษัทแม่ 1.9 หมื่นล้านบาทไม่มีปัญหา ถ้ารวมบริษัทลูกไปก็มี 2.1-2.2 หมื่นล้านบาท...ปีหน้าคิดว่ายอดขายโต 15%"นายอธิป กล่าว
ในปี 56 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างน้อย 17 โครงการ ส่วนหนึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 7-8 แห่งที่จะเปิดใหม่ใน จ.ภูเก็ต และ จ.เชียงใหม่ นอกนั้นเป็นโครงการแนวราบ ซึ่งบริษัทมีแผนรุกตลาดต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยพื้นที่ใหม่ที่จะเปิดโครงการ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ระยอง อุดรธานี นครราชสีมา เป็นต้น คาดว่าสัดส่วนยอดขายในตลาดต่างจังหวัดจะเพิ่มเป็น 25% จากปีนี้ที่มีสัดส่วน 20%
"ปัจจุบันเรากระจายความเสี่ยง ไปตามต่างจังหวัด ไม่กระจุกตัวในกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เริ่มกระจายต่างจังหวัดเพราะมีดีมานด์เฉพาะตัว ไม่ได้ไปแข่งทุกจัหงวดั คิดว่ายอดขายน่าจะมีสัดส่วน 1 ใน 4 ในปีหน้า" นายอธิป กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าแนวโน้มราคาบ้านและคอนโดมิเนียมในปีหน้าจะปรับราคาขึ้นไม่ 5-10% ซึ่งบริษัทจะปรับขึ้นตามต้นทุน เพราะแรงงานหายากมากขึ้นทำให้ผู้รับเหมารายย่อยอ่อนแรงลง ประกอบกับ ราคาวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซิเมนต์ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามค่าขนส่งที่สูงขึ้น แต่บริษัทก็หันมาใช้วัสดุสำเร็จรูปมากขึ้น ได้แก่ วงกบ ปรระตู หน้าต่าง พื้นสำเร็จรูป เพื่อลดการใช้ช่าง
อย่างไรก็ตาม มองว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยในปีหน้ายังไม่ตก เพราะกำลังซื้อไม่ได้หายไป ยิ่งราคาสินค้าเกษตรดียิ่งทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น
นอกจากนี้ คาดว่า ในปี 56 จะได้ข้อสรุปการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในอาเซียนอย่างน้อย 1 โครงการ โดยบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาอยู่ เพราะเห็นว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนที่จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) เป็นกลุ่มลูกค้าที่บริษัทเข้าใจความต้องการ รวมทั้งรสนิยม และบริษัทสามารถเดินทางไปดูแลได้ง่ายกว่า ขณะเดียวกันก็ติดตามสถานการณ์อส้งหาริมทรัพย์ในสหรัฐ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพราะไม่แน่ใจว่าราคาจะถึงจุดต่ำสุดแล้วหรือยัง