อันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเนื่องจากบริษัทมีฐานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้รับอันดับเครดิตที่ระดับ “AA-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" จากทริสเรทติ้ง
บมจ.อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีสเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาบรรลุเป้าหมายการเป็นธนาคารพาณิชย์แบบครบวงจร ทั้งนี้ อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทมีพื้นฐานมาจากฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ตลอดจนคณะผู้บริหารที่มากประสบการณ์และมีผลงานเป็นที่ยอมรับ รวมถึงระบบการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกบั่นทอนบางส่วนจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายกิจการ ผลประกอบการ และคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทในอนาคต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าทิศทางธุรกิจของบริษัทจะมีความสอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจของกลุ่มธนาคารกรุงศรีอยุธยา และบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารต่อไป แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของผู้บริหารของบริษัทในการรักษาฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ด้วย
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าปัจจัยเอื้ออำนวยต่าง ๆ เช่น ผู้บริหารที่มีประสบการณ์ ระบบบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับดีและปรับปรุงฐานะทางการเงินให้ดีขึ้นได้ในระยะปานกลาง
บริษัทมีฐานะเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 โดยบริษัทมียอดลูกหนี้คงค้างทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วน 22% ของยอดสินเชื่อตามงบการเงินรวมของธนาคาร ณ เดือนกันยายน 2555 ในขณะที่มีรายได้สุทธิสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2555 คิดเป็นสัดส่วน 31% ของรายได้สุทธิตามงบการเงินรวมของธนาคาร การสนับสนุนทางธุรกิจและการเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาคาดว่าจะช่วยยกระดับฐานะทางการตลาดในธุรกิจหลักและเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินในลำดับต้น ๆ จากธนาคารดังเห็นได้จากเงินให้กู้ยืมที่บริษัทได้รับจากธนาคารในสัดส่วนถึง 58% ของเงินกู้รวมที่ธนาคารให้แก่บริษัทในเครือ ณ เดือนกันยายน 2555
บริษัทเป็นบริษัทลูกเพียงแห่งเดียวที่ให้บริการธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาภายใต้ชื่อ “กรุงศรี ออโต้" (Krungsri Auto) โดยเป็นการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อสำหรับรถยนต์ใหม่ รถยนต์ใช้แล้ว และรถจักรยานยนต์ นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกันด้วย บริษัทมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในบรรดาผู้ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ทั้ง 20 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง โดยมียอดคงค้างสินเชื่อเช่าซื้อรวม 152 พันล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2554 คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 13% นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ที่มียอดคงค้างสินเชื่อ 5.5 พันล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2554 ด้วย
ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจที่ยาวนานถึง 20 ปี บริษัทสามารถสร้างคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและพัฒนารูปแบบธุรกิจที่เข้มแข็งจนทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในการแข่งขันและยังคงฐานะความเป็นผู้นำอยู่ได้ บริษัทประยุกต์ใช้รูปแบบการบริหารความเสี่ยงตามแนวปฏิบัติของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งได้รับแนวทางมาจาก GECIH ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ของธนาคาร
นอกจากนี้ ทั้งบริษัทและธนาคารกรุงศรีอยุธยาต่างก็ได้รับการกำกับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทยภายใต้มาตรฐานเดียวกัน การบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตที่ดีและระบบการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพช่วยทำให้บริษัทมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบของอุทกภัยครั้งใหญ่ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ทำให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ซึ่งหมายถึงสินเชื่อที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือนขึ้นไปต่อยอดคงค้างสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยของบริษัทมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 1.89% ณ เดือนธันวาคม 2554 จากระดับ 1.45% ในปี 2553 สัดส่วนดังกล่าวกลับมาอยู่ในระดับปกติที่ 1.40% ณ เดือนมิถุนายน 2555 และลดลงต่อเนื่องมาอยู่ในระดับ 1.26% ณ เดือนกันยายน 2555
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงเล็กน้อยในปี 2554 เนื่องจากบริษัทมีโครงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 โครงการช่วยเหลือผู้ถูกน้ำท่วมและการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในปี 2554 ส่งผลให้บริษัทมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ในระดับ 5.48% จากระดับ 6.09% ในปี 2553 ในขณะที่รายได้สุทธิมีจำนวน 3,150 ล้านบาทในปี 2554 ซึ่งเกือบจะเท่ากับรายได้สุทธิ 3,103 ล้านบาทในปี 2553
สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีรายได้สุทธิ 3,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากรายได้สุทธิในช่วงเดียวกันของปี 2554 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยจึงลดลงเป็น 2.32% และ 22.66% ตามลำดับในปี 2554 จากระดับ 2.81% และ 26.11% ในปี 2553 ขณะที่อัตราส่วนที่ยังไม่ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2555 อยู่ที่ระดับ 2.08% และ 20.66% ตามลำดับ อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงเล็กน้อยเป็น 10.01% ณ สิ้นปี 2554 จาก 10.52% ในปี 2553 และปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 10.10% ณ เดือนกันยายน 2555 ส่วนฐานทุนของบริษัทถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้ประกอบการเช่าซื้อรายอื่นที่จัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง