ปัจจุบัน JMT มุ่งขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในธุรกิจบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ อยู่ระหว่างทยอยซื้อมูลหนี้เข้ามาบริหารเพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 56 เตรียมเงินลงทุนไว้ราว 500 ล้านบาท เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนรายได้ถึงเกือบร้อยละ 80 ของรายได้รวม โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตหนี้เสียที่บริหารอยู่แล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
ส่วนธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 20 ของรายได้รวม มีมูลหนี้ที่ต้องติดตามอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และจะยังคงรักษาให้อยู่ในระดับดังกล่าวต่อไป
ขณะที่ธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีพอร์ตสินเชื่อประมาณ 100 ล้านบาท จากปัจจุบันที่ปล่อยสินเชื่อแล้วประมาณ 85 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจนี้มีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 1 ของรายได้รวมเท่านั้น แต่บริษัทฯ มีเป้าหมายจะขยายพอร์ตสินเชื่อให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 300 ล้านบาทในปี 56 จากปีนี้ตั้งเป้าอยู่ที่ 110-120 ล้านบาท โดย 9 เดือนแรกมาอยู่ที่ 99 ล้านบาท ซึ่งจะสะท้อนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตไปในทิศทางเดียวกันด้วย
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/55 คาดว่า ยังมีทิศทางทางเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/55 และไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากการรับรู้รายได้จากธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ และธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง ซึ่งเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาสก่อนหน้าอย่างชัดเจน
“มั่นใจว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี JMT ยังเติบโตได้ดีเช่นเดียวกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งกลุ่มธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ที่บริษัทฯ ได้ซื้อพอร์ตหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารจัดการเพิ่มขึ้น ธุรกิจเร่งรัดติดตามหนี้สิน ที่ยังสามารถจัดเก็บหนี้ได้ดี และธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองที่พอร์ตสินเชื่อได้ขยายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงมั่นใจว่าเป้าหมายรายได้ ในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตราว 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนคงทำได้สำเร็จ ในขณะที่กำไรสุทธิก็มีโอกาสทำได้ดีเช่นเดียวกับปีก่อน โดยในปี 54 มีรายได้รวม 323.53 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 66.39 ล้านบาท"นายปิยะ กล่าว