ทั้งนี้ ARROW จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกจำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 25 ของทุนชำระแล้ว การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้แบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 45 ล้านหุ้น และเสนอขายให้แก่พนักงานของบริษัทและบริษัทย่อยจำนวน 5 ล้านหุ้น โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย 3 แห่ง ประกอบด้วย บล.คันทรี่กรุ๊ป, บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) และ บล.โนมูระ พัฒนสิน ซึ่งจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 17-19 ธ.ค.นี้ และจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 25 ธ.ค.55 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "ARROW"
การกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอของ ARROW ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีความน่าสนใจอย่างมาก ประกอบกับ ARROW มีจุดแข็งตรงที่ความโดดเด่นในอุตสาหกรรม ก่อสร้างและโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตทุกปี ซึ่งทุกอาคารมีส่วนประกอบของท่อร้อยสายไฟฟ้าและท่อประปา นอกจากนี้ยังมีความมั่นคงทางด้านการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนหรือ D/E ratio ที่ต่ำมาก และภายหลังการเพิ่มทุนจะลดลงเหลือต่ำกว่า 0.5 เท่า ด้วยโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งนี้จะทำให้มีศักยภาพในการเติบโตต่อไปอย่างมั่นคง
ด้านนายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ ARROW กล่าวว่า ด้วยจุดแข็งของบริษัทตรงที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตท่อประเภทต่างๆ มาเกือบ 20 ปี มีความโดดเด่นในอุตสาหกรรมการก่อสร้างและโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยทุกอาคารมีส่วนประกอบของท่อร้อยสายไฟฟ้าและท่อประปา และ ARROW ยังเป็นผู้นำตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ท่อเหล็กร้อยสายไฟฟ้า ท่อเหล็กอ่อน ท่อเหล็กอ่อนกันน้ำ ขณะที่ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ที่สำคัญบริษัทได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI โดยเริ่มใช้สิทธิเมื่อต้นปี 2555 ที่ผ่านมา
สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทจะนำไปใช้ในการซื้อที่ดินและเครื่องจักรสำหรับขยายกำลังการผลิต เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจในอนาคตในการเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งและมีอัตราการเติบโตที่ดี
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในปี 55 ไม่ต่ำกว่า 20% โดยผลประกอบการงวด 9 เดือนที่ผ่านมามีรายได้รวมทั้งสิ้น 587 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 74.30 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 54 ซึ่งตลอดทั้งปีมีรายได้รวมทั้งสิ้น 681.60 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 53.21 ล้านบาท