สำหรับโครงการใหม่ในปีหน้า ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว ถนน 345 ปทุมธานี มูลค่า 700 ล้านบาทที่เลื่อนเปิดตัวมาจากปลายปี 54 หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ โดยคาดว่าจะเปิดขายโครงการอย่างเป็นทางการต้นปี 56 รวมทั้ง บ้านแฝดและทาวเฮ้าส์ มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท เปิดขายไตรมาส 3/56 และคอนโดมิเนียมย่านรัตนาธิเบศก์ มูลค่า 800-900 ล้านบาท เปิดขายในไตรมาส 4/56
ส่วนผลงานในปี 55 คาดว่าจะมีรายได้ราว 800 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1 พันล้านบาท เนื่องจากการก่อสร้างแล้วเสร็จช้ากว่ากำหนด ทำให้บริษัทไม่สามารถโอนบ้านให้ลูกค้าได้ทัน
นายกิตติพล คาดว่า ผลประกอบการในปีหน้าจะฟื้นตัวจากปีนี้ตามแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าจะสูงขึ้นจากระดับ 6-7% ในปี 55 แต่คงไม่สูงถึงระดับ 10% เพราะยังมีปัจจัยลบกดดันอยู่ ทั้งราคาวัสดุก่อสร้างและต้นทุนค่าแรงงานที่สูงขึ้น รวมทั้งการแข่งขันสูง ซึ่งบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อช่วยให้ผลประกอบการออกมาดีขึ้น
"ปี 56 คาดว่ามาร์จิ้นน่าจะสูงกว่าปีนี้ แต่ยังไม่ถึง 10% เนื่องจากมีต้นทุนค่าแรงและค่าวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราต้องหันมาเน้นเพิ่ม volumn เพราะราคาขายปรับขึ้นมากไม่ได้ เพราะการแข่งขันสูง การเพิ่ม volumn ทำให้ fix cost เพิ่มขึ้นไม่มาก...เราหันมาพัฒนาคอนโดมิเนียม ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่เราเคยพัฒนามา เพื่อเจาะตลาดที่หลากหลายมากขึ้น เพราะหากเป็นบ้านเดี่ยวต้องอยู่ไกลเมืองมากขึ้น" นายกิตติพล กล่าว
นายกิตติพล มองว่า แม้โครงการคอนโดมิเนียมจะมีมาร์จิ้นมากกว่า 10% ซึ่งสูงกว่าโครงการแนวราบ แต่ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะต้องสร้างโครงการให้เสร็จทั้งหมดก่อนจึงจะเริ่มโอนให้กับลูกค้าเพื่อรับรู้รายได้ อย่างไรก็ตาม ตลาดคอนโดมิเนียมยังมีความต้องการสูง ทั้งในแง่ของการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และการซื้อเพื่อการลงทุน ซึ่งบริษัทต้องการพัฒนาโครงการให้มีความหลากหลายครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม
นอกจากนั้น จากปัญหาการขาดแคลนแรงงานและต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทเริ่มใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นเสา คาน และพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป แต่การก่อสร้างโดยรวมยังเป็นปกติ ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างบ้านขนาดกลางจากปกติใช้เวลาก่อสร้าง 5 เดือน เหลือเพียง 4 เดือน แต่บริษัทยังไม่มีการใช้การก่อสร้างในรูปแบบ pre-cast เพราะการก่อสร้างที่เร็วเกินไปอาจทำให้มี stock เพิ่มจนขายไม่ทัน
กรรมการผู้จัดการ SAMCO เปิดเผยอีกว่า บริษัทได้ชะลอการเปิดศูนย์การค้าเพียวเพลสที่เป็นการร่วมทุนกับ บมจ.ระยองเพียวรีไฟเออร์ (RPC) ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เพียว สัมมากร ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเดิมมีแผนเปิดให้ครบ 5 แห่งภายในปีหน้า จากปัจจุบันมี 3 แห่ง เนื่องจากการแข่งขันสูงเพราะมีผู้ประกอบการหลายรายหันมาเปิดคอมมูนิตี้มอลล์มากขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงจะชะลอการเปิดออกไปโดยไม่มีกำหนด
สำหรับเพียวเพลส สาขาราชพฤกษ์ ที่เปิดตัวล่าสุดเป็นแห่งที่ 3 เมื่อต้นปี 55 นั้น พบว่ามีรายได้ล่าช้ากว่าที่วางแผนไว้ ส่วนหนึ่งจากผลกระทบจากน้ำท่วมปลายปีก่อน โดยมีรายได้เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ภาพรวมปีนี้ยังขาดทุน แต่ปีหน้าคาดว่าน่าจะมีกำไรได้ ดังนั้นคาดว่าแผนคุ้มทุนน่าจะล่าช้ากว่าเดิมที่ตั้งเป้าไว้ภายใน 6-7 ปี ขณะที่ยอมรับว่าการเปิดตัวโครงการช่วงแรกทำให้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากด้วย ขณะที่เพียวเพลสสาขารามคำแหง และรังสิต คลอง 2 ยังมีรายได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
นายกิตติพล ยังกล่าวถึงการที่ RPC เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทว่า ไม่ได้มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานภายใน แต่ RPC จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพในการบริหารจัดการ ทั้งการวางระบบบัญชี และระบบไอที โดย RPC มีวิศวกรที่มีศักยภาพที่จะเข้ามาช่วยงานได้ ซึงน่าจะเป็นผลดีต่อบริษัท
สำหรับการขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP)นั้น ขณะนี้มีนักลงทุนหลายรายแสดงความสนใจเข้ามาซื้อหุ้น บางรายสนใจซื้อในจำนวนมากกว่าที่บริษัทเสนอขาย 50 ล้านหุ้น โดยขณะนี้บริษัทมอบหมายให้ บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินเป็นผู้เจรจา ซึ่งบริษัทต้องการผู้ที่เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพ ขณะเดียวกันหากเสนอราคาที่ดีก็พร้อมพิจารณา