บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ปรับประมาณการรายได้ในปี 2556 ของ บมจ.ช.การช่าง(CK) เพิ่มจากงานใหม่ที่คาดจะรับรู้รายได้จากงานรถไฟฟ้าสายสีม่วง 4 ที่คาดเซ็นสัญญาในระยะใกล้ พร้อมทั้งการทำงานของโครงการไซยะบุรีที่เพิ่มชัดเจนขึ้น มีผลต่อกำไรสุทธิเพิ่ม 15% และมูลค่าเหมาะสมเพิ่มเป็น 14.80 บาท (อ้างอิง PBV 3.2 เท่า)
ทั้งนี้ มองว่า CK ยังมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะกลางจาก 1) โอกาสรับงานในปี 2556 จากภาครัฐ 2) แผนการนำ CKP เข้าตลาดทำให้สภาพคล่องดีขึ้น และ 3) งานในมือระดับสูงรอรับรู้รายได้ต่อเนื่องเกินกว่า 3 ปี
CK จะมีงานในมือระดับ 1.5 แสนล้านบาท หลังจากเซ็นสัญญา 3 โครงการใหญ่ มูลค่ารวม 2.8 หมื่นล้านบาท คือ 1)งานโรงไฟฟ้า SPP 5 พันล้านบาท 2) งานรถไฟฟ้าสายสีเขียวสัญญาที่ 2 มูลค่า 2.5 พันล้านบาท และ 3) งานวางระบบและอุปกรณ์รถไฟฟ้าสายสีม่วง จาก BMCL มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท(ปัจจุบันมีงานในมือ 1.2 แสนล้านบาท 50% มาจากโครงการก่อสร้างเขื่อนไซยะบุรี 18% งานโครงการทางด่วนศรีรัช) ทั้งนี้บริษัทไม่มีความกังวลต่อการรับงานที่มีปริมาณมากขึ้น เนื่องจากเป็นการทำงานใหม่ที่ต่อเนื่องจากงานเดิมที่แล้วเสร็จ ทำให้ยังคงรับงานเพิ่มได้
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสดีจากงานภาครัฐและงานต่อเนื่องจากภาคเอกชน เนื่องจากแผนพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐเร่งอีกหลายโครงการ และมีโอกาสเห็นความคืบหน้าในปี 2556 เช่น 1) รถไฟฟ้าความเร็วสูง มูลค่า 6 แสนล้านบาท 2) โครงการมอเตอร์เวย์ 2 สาย มูลค่ารวม 1.2 แสนล้านบาท 3) รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มมูลค่า 4.7 หมื่นล้านบาท และ 4) งานระบบป้องกันน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท การเป็นผู้รับเหมารายใหญ่จะทำให้ CK มีโอกาสรับงานอย่างต่อเนื่องระยะยาว และมีงานภาคเอกชน จากงานเขื่อนน้ำบากโครงการ 1 — 2 มูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาท ที่จะเห็นความคืบหน้าในอนาคต
อีกทั้งมีประเด็นบวกจากการที่ CK มีแผนนำ CKP (CK Power) เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ไม่เกิน 2Q56 หลังเดินแผนปรับโครงสร้างธุรกิจพลังงาน โดยใน 4Q55 CK จะได้รับเงินราว 890 ล้านบาทจากการขายหุ้น BIC (บางประอินโคเจน)และเชียงรายโซล่าที่ CK ถือ 46% และ 30% ตามลำดับ
CK อยู่ระหว่างการพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้นหลัง IPO ของ CKP จากปัจจุบันถือ 38% โดยคาดเพิ่มทุนขาย IPO สัดส่วนราว 15% ของทุนปัจจุบัน ซึ่ง CK จะขายหุ้นเดิมบางส่วน และจากการได้รับเงินจากการขายดังกล่าวทำให้ มีสภาพคล่องดีขึ้น และภาระหนี้และดอกเบี้ยจ่ายในปี 2556 ลดลง