ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 313,214 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 18, 2012 09:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (11 — 14 ธันวาคม 2555) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้มีมูลค่ารวม 313,214 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 78,303 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประมาณ 3% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 72% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 224,474 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 67,449 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 5,229 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22% และ 2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 4.6 ปี) LB15DA (อายุ 3.0 ปี) และ LB21DA (อายุ 9.0 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 12,664 ล้านบาท 10,565 ล้านบาท และ 9,582 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13102A (อายุ 14 วัน) CB13314B (อายุ 91 วัน) และ CB13110D (อายุ 28 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 47,897 ล้านบาท 31,162 ล้านบาท และ 14,741 ล้านบาท ตามลำดับ

ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของธนาคาร ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) รุ่น TISCO133A (A) มูลค่าการซื้อขาย 850 ล้านบาท และ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT12DA (AAA) และรุ่น TLT149A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 654 ล้านบาท และ 386 ล้านบาท ตามลำดับ

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง+1 ถึง +10 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) ทั้งนี้ภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามามีผลต่อตลาด โดยในช่วงต้นสัปดาห์ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่ส่วนใหญ่แล้วยังคงกระจุกตัว อยู่ในพันธบัตรที่ออกประมูลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนักลงทุนต่างรอผลการประชุม EU Summit และการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในช่วงปลายสัปดาห์ (วันที่ 13 — 14 ธันวาคม) ว่าจะมีมาตรการใดๆ ออกมาเพื่อแทนที่โครงการ Operation Twist (โครงการขายพันธบัตรระยะสั้นเพื่อเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว) ที่กำลังจะหมดอายุลงในสิ้นปี 2555 นี้หรือไม่

และภายหลังจากการประชุม EU Summit ที่มีมติให้อนุมัติการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือจำนวน 4.91 หมื่นล้านยูโรแก่ประเทศกรีซ รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีมติเห็นชอบให้ใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินรอบที่ 4 (QE 4) ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวในวงเงินเดือนละ 4.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากที่ในช่วงก่อนหน้านี้ได้มีการออกมาตรการ QE3 ด้วยการเข้าซื้อสินทรัพย์ประเภท Mortgage-backed bonds ในวงเงินเดือนละ 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา นอกจากนี้แล้ว Fed จะยังตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ไว้ที่ระดับ 0 - 0.25 % ต่อไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าอัตราว่างงานจะลดลงต่ำกว่า 6.5% ส่งผลให้ในช่วงปลายสัปดาห์ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 3 - 6 bp ในตราสารที่มีอายุคงเหลือตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป หลังจากที่นักลงทุนบางส่วนย้ายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น

ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้า คือเรื่องผลการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะมีผลในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจประเทศที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย นอกจากนี้แล้ว ยังต้องติดตามความชัดเจนในการแก้ปัญหาหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ของประเทศสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมาแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภทรวมกัน (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) 9,189 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการซื้อสุทธิ 2,688 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อย มียอดซื้อสุทธิ 105 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ