ขณะที่คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP)ในปีหน้าจะอยู่ที่ 4.6% และ 4.7% ในปี 57
ส่วนปัจจัยลบ ให้น้ำนักประเด็นความเสี่ยงของการเมืองไทย ปัญหาหนี้สาธารณะในยูโรโซน และปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจากการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ฯ ระบุว่า ภาครัฐควรเร่งลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคและโครงการขนาดใหญ่ ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ ลดอัตราดอกเบี้ยช่วงนี้ถึงปี 56 ลงอีก 0.25-0.50% และควรปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด
สมาคมนักวิเคราะห์ฯ คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น(EPS Growth) ของบริษัทจดทะเบียนในปี 56 จะเติบโตเฉลี่ย 15.2% ราคาทองคำสิ้นปี 56 จะขึ้นไปอยู่ที่บาทละ 26,732 บาท นักลงทุนต่างชาติจะซื้อสุทธิเฉลี่ย 45,845 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 16,467 ล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์จะซื้อสุทธิ 3,243 ล้านบาท
กลุ่มธุรกิจที่น่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 32.17% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เติบโตเฉลี่ย 18.44% และกลุ่มธนาคาร เติบโตเฉลี่ย 18.37% ด้านอัตราผลตอบแทนเงินปันผลนั้นกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 5.50% 2.กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 5.08% 3. กลุ่มพลังงาน 4.34 %
ขณะที่กลยุทธการลงทุนในปีหน้า นักวิเคราะห์ฯ แนะนำให้รอจังหวะทยอยซื้อสะสมในช่วงที่ตลาดปรับฐานลง โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และหุ้นที่อิงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก โดยแนะนำหุ้นเด่น ได้แก่ BCP, INTUCH, KBANK, PTTEP, STEC เป็นต้น ส่วนหุ้นเต็มมูลค่า/เกินมูลค่า ได้แก่ หุ้นในหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ธุรกิจธนาคาร และธุรกิจเหล็ก อย่างละ 1 ราย เป็นต้น