นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานกรรมการบริหาร EA กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทเลือกนำหุ้น IPO เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ไม่ใช่ตลาดหลักทรัพย์ SET เนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ต้องการสูญเสียสัดส่วนการถือครองหุ้นไปมาก เพราะบริษัทยังมีแนวโน้มการเติบโตในเกณฑ์ที่ดี และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลที่ 30% ของกำไรสุทธิ โดยหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ mai กำหนดให้กระจายหุ้น 25% เป็นระดับที่น่าพอใจ แต่ตลาดหลักทรัพย์ SET กำหนดให้กระจายหุ้น 30% ซึ่งมองว่าสูงเกินไป
บริษัทคาดว่าการเติบโตของธุรกิจในปี 56 จะเป็นไปตามโครงการพลังงานทดแทนที่เริ่มมีการก่อสร้างและสามารถดำเนินการได้ โดยในปีหน้าจะมีการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ จ.นครสวรรค์ ขนาดกำลังผลิต 90 MW ใช้เงินลงทุน 6,680 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ 1,586 ล้านบาท/ปี และมีกำไรสุทธิประมาณ 915 ล้านบาท/ปี
และในช่วงปี 57-58 จะมีการลงทุนอีก 2 โครงการ ที่ลำปางและพิษณุโลก ขนาดกำลังผลิตแห่งละ 90 MW จะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดหลังจากปี 58 ซึ่งสัดส่วนรายได้จะปรับเปลี่ยนเป็นรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเกินกว่า 50% ส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากธุรกิจไบโอดีเซล
บริษัทยังมีแผนงานในอนาคตที่จะลงทุนโครงการพลังงานลมเพิ่มเติมอีก 16 โครงการ โดยจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานลมในพื้นที่ชัยภูมิ-มุกดาหาร ราว 13 แห่ง คาตว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ทั้งหมด 635 MW และในนครศรีธรรมราช-สงขลา อีก 3 แห่ง คาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ทั้งหมด 126 MW คาดว่าจะเริ่มสร้างได้ในช่วงปี 58 เป็นต้นไปจนถึงปี 63 คาดว่าจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทั้งหมดได้ 761 MW โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับภาครัฐเพื่อจำหน่ายกระแสไฟฟ้า
ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสแซท โปร แมแนจเม้นท์ จำกัด(APM)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน EA กล่าวว่า การเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai จะเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้บริษัทมีความโดดเด่น ซึ่งหลังจากการโรดโชว์ 11 จังหวัด ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุน โดยคาดว่าจะมีผู้ถือหุ้นรายย่อยเข้ามาถือหุ้นกว่า 1 หมื่นราย และสถาบันต่างๆให้ความสนใจกว่า 10 บริษัท เช่น เครือ AIA กองทุนรวมต่าง ๆ และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)