พร้อมกันนั้นบริษัทยังได้ลูกค้าใหม่เข้ามาช่วยผลักดันรายได้และกำไร โดยมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาเพิ่มประมาณ 4-5 ราย ในกลุ่ม Industrial, Medical รวมถึงการขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม component เพื่อผลิตให้ลูกค้าในญี่ปุ่น ทำให้ยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นในช่วงไตรมาส 2/56 คาดว่ากำไรก่อนรายการพิเศษในปีหน้าจะเติบโตก้าวกระโดด
อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นในไตรมาส 4/55 คาดว่ายอดขายยังน่าจะออกมาทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาส 3/5 แต่จากยอดรับรู้เงินชดเชยความเสียหายจากน้ำท่วมจะช่วยให้ในไตรมาสสุดท้ายและทั้งปี 55 ผลประกอบการของบริษัทจะพลิกเป็นมีกำไร และมีลุ้นจ่ายเงินปันผลได้
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.กรุงศรี ซื้อ 4.80 บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ซื้อ 4.80 บล.ดีบีเอส ซื้อ 4.80 บล.ธนชาต ซื้อ 4.70 บล.เอเชีย พลัส ถือ 4.20 บล.เกียรตินาคิน ถือ 4.00 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ถือ 3.86
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้น SVI เนื่องจากปีนี้สภาพคล่องของกิจการเริ่มดีขึ้นหลังได้รับเงินประกันความเสียหายจากเหตุน้ำท่วม ทำให้มีโอกาสนำเงินไปชำระหนี้ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินกลับมาสู่ระดับปกติ พร้อมทั้งพลิกกลับมามีกำไรสะสมในปี 55 อาจกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ โดยประเมินการอัตราเงินปันผลที่ 0.13 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทนราว 3.4%
แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/55 คาดว่ารายได้จะใกล้เคียงกับไตรมาส 3/55 ขณะที่อัตรากำไรน่าจะผ่านจุดย่ำแย่ที่สุดไปแล้ว การฟื้นตัวของผลประกอบการจะเป็นปกติได้ภายในไตรมาส 1/56 ด้วยคำสั่งซื้อจากลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่หลายรายที่อยู่ระหว่างทดลองผลิต ซึ่งจะสร้างรายได้ชัดเจนในปี 56 โดยคาดว่าจะช่วยผลักดันกำไรเติบโต 50% yoy
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี มองว่า แนวโน้มผลประกอบการจะกลับมาเติบโตสูงกว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในปี 56 เนื่องจากการผลิตฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ คาดกำไรก่อนรายการพิเศษปีหน้าจะเติบโตก้าวกระโดดกว่า 91% yoy มาที่ 732 ล้านบาท จากคำสั่งผลิตที่จะกลับสู่ระดับปกติ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวจากการประหยัดต่อขนาด(Economy of scale)ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้นจากเครื่องจักรใหม่
และคาดว่าผลประกอบการจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 57 ตามคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหม่ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะชิ้นส่วนอุปกรณ์สื่อสารของลูกค้าญี่ปุ่น และอุปกรณ์การแพทย์ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ ส่วนในระยะสั้นทิศทางผลประกอบการไตรมาส 4/55 ถึงไตรมาส 1/56 คงยังอ่อนแอ แต่จะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2/56 เป็นต้นไป
ส่วน น.ส.นารี อภิเศวกานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป มองว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส3/55 ออกมาต่ำกว่าคาดทั้งยอดขาย จากผลของการติดตั้งเครื่องจักรล่าช้าทำให้ใช้กำลังการผลิตที่ไม่เต็มที่ และต้นทุนค่าแรงปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายก็เพิ่มขึ้นจากหนี้เงินกู้นำมาซื้อเครื่องจักรใหม่ และคาดว่าจะยังส่งผลต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/55
แต่สถานการณ์จะเริ่มกลับมาดีขึ้นหลังจากกลับมาผลิตได้เต็มที่หลังการติดตั้งเครื่องจักรใหม่เสร็จแล้ว รวมถึงได้ลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่ม 4-5 ราย คาดว่าจะส่งผลอย่างมีนัยต่อผลการดำเนินงานตั้งแต่ไตรมาส 2/56 เป็นต้นไป โดยลูกค้าใหม่อยู่ในกลุ่ม Industrial, Medical ซึ่งยังเป็นลูกค้าในกลุ่มสแกนดิเนเวีย รวมถึงขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม component เพื่อผลิตให้ลูกค้าในญี่ปุ่น
คาดการณ์ยอดขายปี 56 เพิ่มขึ้น 16% yoy โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของยอดขายลูกค้าใหม่ราว 10-15% yoy และคาดว่า margin จะดีขึ้น yoy จากสัดส่วนการขายสินค้า margin สูงมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่ม component, medical และ Industrial อีกทั้งการจ่ายคืนหนี้ไปจะส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง ประมาณการกำไรสุทธิก่อนรายการพิเศษคาดจะขยายตัว 59% yoy(ไม่รวมเงินประกันที่จะได้คืนจากน้ำท่วม)แต่กำไรสุทธิคาดจะอยู่ที่ 626 ล้านบาท ลดลง 45% yoy เนื่องจากปี 55 มีการรับรู้เงินชดเชยน้ำท่วมเข้ามา
น.ส.มินทรา รัตยาภาส นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ผลประกอบการ SVI จะชะลอตัวลงในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยประเมินยอดขายไตรมาส 4/55 ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/55 ที่ 66-67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ผลกระทบการขึ้นค่าแรงและค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น ทำให้ไม่เห็นการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นที่ 8% ในไตรมาส 3/55
กำไรปกติ(ไม่รวมเงินประกัน)ประมาณ 88 ล้านบาทในไตรมาส 4/55 จะใกล้เคียงกำไรปกติในไตรมาส 3/55 แต่ลดลง 30% yoy เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างประเมินเงินเครมประกันกับบริษัทประกันอีกครั้ง โดยปีนี้จะบันทึกเงินเคลมประกัน 800-900 ล้านบาท ซึ่งจะบันทึกราว 200 ล้านบาทในไตรมาส 4/55
ส่วนปี 56 คาดว่ายอดขายเติบโต 15-20% จากปี 55 หรือมียอดขายประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐโดยบริษัทมีลูกค้าใหม่ 5 ราย เป็นลูกค้ากลุ่ม Industrial 2-3 ราย กลุ่มสินค้า Medical 1 ราย และสินค้าใหม่ CCP(อุปกรณ์ด้านโทรคมนาคม) 1 ราย ซึ่งบริษัทจะเริ่มการผลิตสินค้าใหม่ต้นปีหน้าและเริ่มรับรู้รายได้เต็มที่ในไตรมาส 3/56 และหวังผลต่อเนื่องสู่การขยายตลาดในญี่ปุ่น โดยรวมมองว่าการฟื้นตัวจะกลับสู่ปกติยังต้องใช้เวลาอีก 2 ไตรมาสกว่าจะเห็นผลของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น