"ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาการทำระบบบำบัดน้ำเสียในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/56 จะมีขนาดที่เรียกว่า Economic of Scale หลังจากที่ได้มีการสร้างโรงบำบัดน้ำเสียมาผลิตเป็นน้ำดีเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมให้กับโรงไฟฟ้าในนั้นไปแล้ว คาดจะรับรู้รายได้ในปี 56 ประมาณ 70-80 ล้านบาท"นายกิตติ เปิดเผย"อินโฟเควสท์"
ทั้งนี้ แหล่งข่าวจาก UAC เปิดเผยว่า งานโครงการบำบัดน้ำเสียแห่งที่ 2 ในมาบตาพุด คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งเป็นขนาดเล็กกว่าแห่งแรกที่มีมูลค่าประมาณ 80 ล้านบาท และเป็นการร่วมทุนกับ HYDRO ที่ UAC ถือหุ้นราว 50% เศษ คาดว่าจะรับรู้รายได้ราวไตรมาส 2/56 โดยบริษัทมองว่านโยบายดูแลสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ให้มีการปล่อยของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมออกมาสู่ภายนอก น่าจะทำให้บริษัทมีโอกาสได้รับงานประเภทดังกล่าวเพิ่มเติมอีกในอนาคต
นายกิตติ เปิดเผยอีกว่า สำหรับโครงการร่วมทุนระบบผลิตน้ำดีและบำบัดน้ำเสียในพม่าที่ร่วมมือกับ HYDRO นั้น โครงการแรกจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในปี 56 ซึ่งเป็นโครงการระบบบำบัดน้ำเสียในนิคมอุตสาหกรรมเมืองมัณฑะเลย์ มูลค่าลงทุน 300 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาน 200 ล้านบาท/ปี ส่วนโครงการแห่งที่ 2 มูลค่าลงทุนราว 800 ล้านบาท คาดว่าจะมีรายได้กว่า 300 ล้านบาท/ปี จะเริ่มสร้างกลางปี 56 และแล้วเสร็จในปี 58
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่าศึกษาการตั้งโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 1.5 เมกะวัตต์ ที่จะนำก๊าซจากโรงผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูง(CBG)จากขี้หมูและหญ้าเนเปียร์(หญ้าเลี้ยงช้าง) ซึ่งบริษัทมีแผนจะลงทุนเพิ่มเติม 16 โครงการ โดย 10 โครงการจะอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนเช่นเดียวกับโครงการแรก ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และ ลำพูน ส่วนอีก 6 โครงการ จะเป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นใน จ.ขอนแก่น และ จ.เลย ซึ่งจะรับรู้รายได้ครบทั้งหมดในปี 58
"เราอยู่ระหว่างการศึกษาว่าพื้นที่ใดที่เหมาะสำหรับการผลิตก๊าซอย่างเดียว และพื้นที่ไดจะผลิตก๊าซแล้วนำก๊าซมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งถ้าหากเป็นโครงการผลิตก๊าซเพียงอย่างเดียวจะสามารถผลิตก๊าซได้ 2,100 ตัน/โรง/ปี และโครงการที่นำก๊าซมาผลิตไฟฟ้าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 1.5 MW/โรง/วัน"นายกิตติ กล่าว