อันดับเครดิตของ BAFS สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในการให้บริการน้ำมันอากาศยานในประเทศไทย โดย BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Pipeline Network) แต่เพียงรายเดียว ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้ให้บริการหลักในส่วนของบริการเติมน้ำมันอากาศยาน (Into-Plane Fuelling Service) ณ ท่าอากาศยานดังกล่าว โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในการเติมน้ำมันอากาศยานประมาณร้อยละ 85
ทั้งนี้ BAFS อยู่ในธุรกิจที่มีสภาพการแข่งขันที่ต่ำและได้รับประโยชน์จากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจที่สูงของผู้บริการรายใหม่ เนื่องจากผู้ให้บริการต้องได้รับการอนุญาตจากท่าอากาศยานนั้นๆ จึงจะให้บริการได้
ฟิทช์คาดว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS จะเพิ่มขึ้นในปี 2556 - 2557 แม้ว่าในปี 2555 ปริมาณการเติมน้ำมันน่าจะลดลงเล็กน้อยประมาณร้อยละ 1 จากปีก่อน การลดลงของปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานดังกล่าว มีสาเหตุจากการยกเลิกเที่ยวบินระยะยาวบางส่วนที่บินไปยังและบินมาจากยุโรป ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป อย่างไรก็ตาม การเติบโตของปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในอีก 2 ปีข้างหน้า น่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและภูมิภาค ขณะที่ผลกระทบทางลบที่อาจเพิ่มขึ้นจากยุโรปน่าจะอยู่ในระดับที่จำกัด
เนื่องจาก BAFS จะเรียกเก็บเฉพาะค่าบริการเติมน้ำมันจากบริษัทน้ำมันเท่านั้น (โดยบริษัทน้ำมันเป็นผู้ขายน้ำมันให้แก่สายการบิน) ทำให้ BAFS ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ต้นทุนหลักของ BAFS เป็นค่าสัมปทาน ซึ่งเป็นอัตราที่ตกลงกันก่อนตามสัญญา ทำให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของ BAFS ค่อนข้างคงที่
อัตราส่วนทางการเงินในปัจจุบันของ BAFS ทำให้ BAFS มีความสามารถในการรองรับแผนการลงทุนใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า รวมถึงค่าใช้จ่ายลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับการขยายสนามบินสุวรรรภูมิ โดยที่ยังคงสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้ ฟิทช์คาดว่า BAFS น่าจะยังคงสามารถรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินที่วัดจาก Fund Flow from Operations — Adjusted Net Leverage ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.0 เท่าได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายการลงทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยบวก คือ การเพิ่มขึ้นของขนาดธุรกิจและระดับการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจของ BAFS (ซึ่งไม่น่าจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างมากภายใน12-18 เดือนข้างหน้า) ส่วนปัจจัยลบ คือ การลงทุนจำนวนมากกว่าที่คาดโดยใช้เงินกู้เป็นแหล่งเงินทุน และการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง ซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินที่วัดจาก Fund Flow from Operations — Adjusted Net Leverage เพิ่มสูงขึ้นเกิน 2.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง