ในฐานะที่ กสทช. โดย บอร์ด กทค. เป็นหน่วยงานออกใบอนุญาตและมีหน้าที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม จึงต้องวางมาตรการรองรับปัญหาข้อพิพาทมือถือไว้ล่วงหน้า และเพื่อเป็นการทำงานในเชิงรุก ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่า กระบวนการทำงานด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม จะต้องก้าวสู่ยุค “คิดในเชิงบวกทำในเชิงบวกทั้งระบบ" เพราะที่ผ่านมางานคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ถูกมองว่ามีลักษณะจ้องจับผิดรายวันในประเด็นปัญหาปลีกย่อยและมุ่งตำหนิการทำงานของบอร์ดและสำนักงาน กสทช. ซึ่งมิได้เป็นการมองที่แก่นของปัญหาหรือมิได้มองไปที่เหตุแห่งปัญหา ส่งผลให้เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและขาดประสิทธิภาพในการเยียวยาปัญหาความเดือดร้อนของผู้บริโภคจากการถูกเอารัดเอาเปรียบในการใช้บริการมือถือ จนกลายเป็นปัญหารื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน
การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ จะต้องมองที่แก่นของปัญหาและวิเคราะห์เหตุแห่งปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยจะต้องเกาให้ถูกที่คัน ทั้งนี้เห็นว่าควรเน้นการจัดการปัญหาที่ “ต้นน้ำ" แทนที่จะไปเน้นเฉพาะการเยียวยาปัญหาที่“ปลายน้ำ" สำหรับการจัดการปัญหาที่ “ต้นน้ำ"นั้น สามารถดำเนินการได้โดยเน้นการให้องค์ความรู้แก่ผู้บริโภคทุกภาคส่วน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งพื้นที่ห่างไกล เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ ในการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค หากถูกผู้ประกอบการเอาเปรียบจากการใช้บริการมือถือ เพื่อให้ทราบว่าผู้บริโภคจะเข้าถึงช่องทางในการปกป้องสิทธิตัวเองอย่างไร และจะมีเครื่องมือใดในการขับเคลื่อนให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แห่งการปกป้องสิทธินั้น
ที่สำคัญข้อมูลที่ให้ผู้บริโภคจะต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือน สำหรับในส่วนของผู้ให้บริการก็จะต้องมีการกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้เกิดความรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งเน้นเพื่อให้เข้าใจบทบาท หน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ใช้บริการตามที่กฎหมายกำหนด ตลอดจนสร้างความเข้าใจถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากมีการฝ่าฝืนกฎหมายและขาดความรับผิดชอบต่อสังคม
"การจัดการปัญหาที่ต้นน้ำ ในเรื่องของการคุ้มครองผู้บริโภค คือการป้องปรามปัญหามิให้เกิดขึ้น มิใช่รอจนเกิดปัญหาแล้วค่อยไปหามาตรการเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งนอกเหนือจากการให้องค์ความรู้ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผมยังคิดว่า การสร้างกลไกการขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการใช้บริการมือถือให้มีความเข้มแข็งอย่างแท้จริง ก็คือ จะต้องเปิดกว้างให้ผู้บริโภคที่เป็นตัวแทนจากทุกกลุ่มของสังคมไทย เช่น ผู้บริโภคที่เป็นผู้ด้อยโอกาสทางสังคม กลุ่มคนพิการทางสายตา พิการทางหู พิการในส่วนต่างๆของร่างกาย กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเยาวชน กลุ่มผู้บริโภคในสังคมโซเซียลเน็ตเวิร์ค หรือ แม้แต่กลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายทางเพศ ฯลฯ เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกับ กสทช. ในการวิเคราะห์สภาพปัญหาและหามาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น"นายสุทธิพล กล่าว
ทั้งนี้ งานคุ้มครองผู้บริโภคเป็นเรื่องยาก ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและที่สำคัญต้องไม่มีการผูกขาดแนวความคิดหรือถูกจำกัดกรอบการดำเนินการโดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ควรจะต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างหลากหลายและต้องทำในเชิงสร้างสรรค์ ในลักษณะการคิดในเชิงบวกทำในเชิงบวก ซึ่งหากไม่มีการปรับปรุงวิธีการทำงานแล้วก็ยากที่จะทำให้งานคุ้มครองผู้บริโภคประสบผลสำเร็จ โดยในเบื้องต้นเพื่อให้งานสามารถขับเคลื่อนไปได้ควรจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการการมีส่วนร่วมเพื่อทำงานในเชิงรุก ส่วนในระยะยาวน่าจะพิจารณาให้มีการปรับปรุงโครงสร้างสำนักงาน กสทช.โดยเพิ่มเติมในส่วนงานด้านการมีส่วนร่วม สำหรับรูปแบบที่ชัดเจนจำเป็นจะต้องมีการหารือในรายละเอียดเพื่อให้เกิดความรอบคอบ
สำหรับการเยียวยาปัญหาผู้บริโภคที่ถูกเอาเปรียบในกิจการโทรคมนาคม “ที่ปลายน้ำ" ซึ่ง กสทช. ต้องดำเนินการควบคู่ไป นั้น ขณะนี้ กสทช.กำลังเร่งยกเครื่องระบบการรับเรื่องร้องเรียน โดยมีแนวคิดจะจัดทำในรูปแบบ “วันสต็อปเซอร์วิส" เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกรวดเร็วและเป็นธรรมในการร้องเรียนปัญหาการใช้บริการ นอกจากนี้ กสทช. ยังได้ออกระเบียบว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทฯ เพื่อเปิดเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการระงับข้อพิพาท ซึ่งปัจจุบันมีผลบังคับใช้แล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาระบบงานธุรการ และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรเพื่อบังคับใช้ระเบียบดังกล่าวให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด