อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท รวมถึงการผสานธุรกิจการตลาดเข้ากับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน การกระจายธุรกิจไปสู่ธุรกิจพลังงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และการสนับสนุนจาก บมจ.ปตท. (ปตท.) ในการพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจของบริษัทภายหลังอุบัติเหตุเพลิงไหม้ ตลอดจนความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่น (Gross Refining Margin) และความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย
พร้อมกันนี้ทริสเรทติ้งประกาศยกเลิก “เครดิตพินิจ" แนวโน้ม “Negative" หรือ “ลบ" ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตของบริษัทเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ในบริเวณโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ด้วยและกำหนดแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" ให้แก่บริษัทโดยคาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารงานโรงกลั่นน้ำมันได้อย่างราบรื่นและจะยังคงดำรงสถานะทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกเอาไว้ได้
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำเนินงานโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ได้อย่างราบรื่นและดำรงสถานะทางการตลาดในช่องทางการค้าปลีกได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นจะสร้างรายได้ที่แน่นอนให้แก่บริษัทในระยะยาวและจะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันได้บางส่วน
BCP ก่อตั้งในปี 2528 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันกำลังการผลิต 120 พันบาร์เรลต่อวัน (KBD) ในกรุงเทพฯ บริษัทยังดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้า “บางจาก" ทั่วประเทศด้วย โดย ณ เดือนกันยายน 2555 บริษัทมีสถานีบริการน้ำมันจำนวน 1,063 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 38 เมกะวัตต์ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาด้วย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 ผู้ถือหุ้นของบริษัทประกอบด้วย ปตท. 27.2% กระทรวงการคลัง 10.0% และส่วนที่เหลืออีก 62.8% ถือโดยนักลงทุนทั่วไป
โรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) ของบริษัทมีความสามารถในการกลั่นน้ำมันดิบได้หลากหลายชนิดโดยเฉพาะน้ำมันดิบชนิดหนักและมีปริมาณกำมะถันสูง อีกทั้งยังกลั่นได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงด้วย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่บริษัทกลั่นได้ประกอบด้วยน้ำมันดีเซล 54% น้ำมันเบนซิน 20% น้ำมันเตา 13% และน้ำมันอากาศยาน 11% บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปผ่านสถานีบริการประมาณ 60% ของปริมาณการจำหน่ายผ่านธุรกิจการตลาด ส่วนที่เหลืออีก 40% จำหน่ายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีสถานะเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 13.8%
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ในบริเวณโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทจนเป็นเหตุให้ต้องปิดดำเนินการโรงกลั่นทั้งหมดเป็นเวลา 10 วัน โดยเพลิงเกิดที่บริเวณหอแยกน้ำมันแก๊สออยล์ (Gas Oil Stripper) ซึ่งอยู่ใกล้กับหอกลั่นน้ำมัน (Crude Distillation Unit) ขนาด 80 KBD หน่วยกลั่นนี้หยุดดำเนินการนานประมาณ 4 เดือน และกลับมาดำเนินการ
อีกครั้งในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 มูลค่าความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้นี้ประมาณ 800 ล้านบาท โดยคาดว่าจะได้รับการชดเชยจากบริษัทประกันภัยเกือบทั้งหมด ในขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทประกันภัยสำหรับความเสียหายที่เกิดจากธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption) เหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทเพียงเล็กน้อย แม้ว่าปริมาณน้ำมันดิบที่ส่งเข้ากลั่นจะลดลงเหลือ 70.0 KBD ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 จาก 85.7 KBD ในปี 2554 แต่ธุรกิจโรงกลั่นของบริษัทก็ยังมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ถึง 3,971 ล้านบาท
ในขณะที่ค่าการกลั่นพื้นฐาน (Base GRM) ของบริษัทอยู่ในระดับสูงที่ 14.03 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ทั้งนี้ เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับราคาน้ำมันดิบนั้นค่อนข้างกว้าง ประกอบกับความสามารถของบริษัทในการปรับสัดส่วนการผลิตเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงมากขึ้นเช่นน้ำมันดีเซล ผลิตภัณฑ์น้ำมันที่บริษัทกลั่นได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 ประกอบด้วย น้ำมันดีเซล 57% น้ำมันเบนซิน 21% น้ำมันเตา 11% และน้ำมันอากาศยาน 9%
แม้ว่าโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทจะหยุดดำเนินการในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 แต่ยอดขายผ่านธุรกิจการตลาดของบริษัทลดลงเพียง 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เหลือ 339.5 ล้านลิตรต่อเดือน ปริมาณที่ลดลงเพียงเล็กน้อยสะท้อนถึงความสามารถในการจัดการคลังน้ำมันและระบบการขนส่งของบริษัท นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างโรงกลั่นในกลุ่ม ปตท. อีกด้วย ในส่วนของยอดจำหน่ายผ่านสถานีบริการของบริษัทนั้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 207.8 ล้านลิตรต่อวัน ในขณะที่ยอดจำหน่ายแก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง 11.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 132 ล้านลิตรต่อวันในไตรมาสที่ 3 ของปี 2555
บริษัทเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนโดยพัฒนาและดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตั้งแต่ปี 2554 โดยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทขนาด 38 เมกะวัตต์ได้หยุดดำเนินการในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2554 เนื่องจากเหตุอุทกภัย บริษัทได้ซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายและติดตั้งใหม่เรียบร้อยแล้ว ความเสียหายจากเหตุอุทกภัยทั้งหมดได้รับการชดเชยจากบริษัทประกันภัยและผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการ สำหรับโรงไฟฟ้าส่วนแรกซึ่งมีขนาด 8 เมกะวัตต์ได้เริ่มกลับมาดำเนินการเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2555 ส่วนที่เหลือ 30 เมกะวัตต์กลับมาเริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2555 โดย
คาดว่าโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทประมาณ 400 ล้านบาทในปี 2555 และประมาณ 740 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิตรวม 80 เมกะวัตต์ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าได้ในปี 2556 และปี 2557 ซึ่งธุรกิจพลังงานทดแทนนี้จะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดที่จะมีต่อ EBITDA ของบริษัทได้ในระดับหนึ่ง
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทมีผลการดำเนินงานในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทจะหยุดดำเนินงานนานถึง 3 เดือนและราคาปิโตรเลียมก็แกว่งตัวค่อนข้างกว้าง แต่บริษัทก็ยังสามารถสร้าง EBITDA ได้ถึง 5,732 ล้านบาท ฐานะทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับที่ดี โดยโครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจโดยมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ระดับ 42.2% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555
บริษัทมีแผนการลงทุนสำหรับโครงการใหม่ในระหว่างปี 2556-2559 คิดเป็นมูลค่ารวม 24,300 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตโรงกลั่น และการขยายเครือข่ายการตลาดของบริษัท ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจาก EBITDA ที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 7,000-9,000 ล้านบาทต่อปีแล้วทำให้คาดว่าสัดส่วนหนี้สินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่มีการลงทุนใหม่