ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 18.28 จุด หรือ 0.14% ปิดที่ 13,096.31 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.73 จุด หรือ 0.12% ปิดที่ 1,418.10 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 4.25 จุด หรือ 0.14% ปิดที่ 2,985.91 จุด
ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 ธ.ค. ลดลง 12,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 350,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 360,000 ราย
รวมทั้งรายงานที่ระบุว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 4.4% แตะที่ 377,000 ยูนิต/ปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง และเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ขณะที่ราคากลางของบ้านใหม่ในเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 14.9% สู่ระดับ 246,200 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นของยอดขายบ้านใหม่และราคาบ้านใหม่ในเดือนพ.ย.สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้น
แต่ต่อมาหลังจากนั้น ตลาดเริ่มถอยลงมาเคลื่อนไหวในแดนลบเนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายในขณะที่กำหนดเส้นตายของการใช้มาตรการลดการใช้จ่ายและปรับขึ้นภาษีของสหรัฐ หรือภาวะหน้าผาการคลัง กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ และนักลงทุนวิตกกังวลมากขึ้นเมื่อนายแฮร์รี่ รี้ด ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐเตือนว่า สหรัฐอาจจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลังได้ก่อนกำหนดเส้นตายสิ้นปี 2555 เนื่องจากการเจรจาของพรรครีพับลิกันและเดโมแครทยังไม่มีความคืบหน้า
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะหน้าผาการคลังส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.ของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 65.1 จุด และยังส่งผลให้การซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความวิตกกังวลที่เป็นเหตุให้เกิดความผันผวนในตลาด พุ่งขึ้นเหนือระดับ 20 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนชะลอการเทขายหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรครีพับลิกันเปิดเผยว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสจะจัดการเจรจาในเรื่องดังกล่าวอีกครั้งในวันอาทิตย์นี้
หุ้นมาร์เวลล์ เทคโนโลยี ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพสำหรับโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ ร่วงลง 3.7% หลังจากเจพีมอร์แกนปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าว อาจเนื่องมาจากคดีความเรื่องสิทธิบัตร
หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลง โดยหุ้นเจพีมอร์แกนขยับลง 0.8% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 0.6%