กองทุนจะแปลงสภาพเป็นกองทุนเปิด คาดว่าจะมีการระดมทุนเพิ่มภายในปีหน้า เป็นผลให้ขนาดกองทุนเบื้องต้นปรับเพิ่มจากประมาณ 370,000 ล้านบาทในปัจจุบัน เป็นไม่เกิน 500,000 ล้านบาทในช่วงแรก และอาจเพิ่มขึ้นจากการระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคต
หน่วยลงทุนจะยังคงแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หน่วย ก. สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปซึ่งคาดว่าจะประกอบไปด้วยสถาบันการเงิน ผู้ลงทุนสถาบันทั้งภาครัฐ และเอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งจะสามารถขายคืนได้ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดนอกเหนือจากที่จะสามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ และหน่วย ข. สำหรับกระทรวงการคลัง เป็นผู้ถือหน่วยรายใหญ่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุน
นโยบายการลงทุนจะประกอบไปด้วยสินทรัพย์ 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สินทรัพย์สภาพคล่อง ได้แก่ เงินสดหรือตราสารเทียบเท่าเงินสด สินทรัพย์เชิงรุก เช่น หลักทรัพย์จดทะเบียนใน SET50 และ SET100 และกิจการที่จำเป็น ประกอบด้วยหลักทรัพย์จดทะเบียนหลักทรัพย์ไม่จดทะเบียน และ/หรืออื่นๆ ตามความเหมาะสม โดยมุ่งเน้นการลงทุนเชิงรุกเป็นหลักประกอบการลงทุนในกิจการที่เป็นปโยชน์ต่อประเทศ สัดส่วนของสินทรัพย์แต่ละประเภทสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม และจะมีการกำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนสำหรับกิจการที่จำเป็นต่อไป
“ผลตอบแทนหน่วย ก. จะมีลักษณะเป็นช่วงขั้นต่ำ/สูง โดยผู้ลงทุนทั่วไปจะมีสิทธิรับผลตอบแทนก่อนเพื่อให้เป็นตามอัตราขั้นต่ำตามที่กองทุนฯกำหนด"นายประสงค์ กล่าว
ปัจจุบัน กองทุนฯ มีผู้ถือหน่วยประมาณ 27,000 ราย โดยมีกระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย(KTB) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นผู้ถือหน่วยรายใหญ่(ประมาณร้อยละ 70 ทั้งนี้ กองทุนฯ มีผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีโดยประมาณร้อยละ 5 — 6 และมีการลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้น PTT และ SCB ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 75 ของการลงทุนทั้งหมด