"ในปี 56 นี้คาดว่าจะเป็นปีที่ดีของบริษัทฯ ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด หลังจากนั้นบริษัทจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตต่อเนื่องได้ประมาณ 10-15% ต่อปี " นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับปี 55 บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 42,100 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 52 โครงการ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ในทุกประเภทที่อยู่อาศัยและครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ โฮมออฟฟิศ และช็อปเฮาส์ เป็นต้น คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 57,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายที่เติบโตก้าวกระโดดถึง 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา รวมทั้งยังนับว่าเป็นการทุบทุกสถิติ กับการสร้างยอดขายที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่การก่อตั้งบริษัท ขณะที่คาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทจะเติบโตขึ้นในทิศทางเดียวกันหรือสูงกว่าปีก่อน
"ความสำเร็จที่สำคัญในปีนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความสำเร็จในรุกตลาดต่างจังหวัด ทั้งในทำเลหัวหินซึ่งแสนสิริเป็นเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมตากอากาศเดิมอยู่ก่อนแล้ว รวมถึงความสำเร็จจากการรุกขยายการพัฒนาโครงการในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 21,000 ล้านบาท"นายเศรษฐา กล่าว
นอกจากนี้ Key Driver หลักสำคัญ ที่ส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จสูงและเติบโตแบบก้าวกระโดด คือการเดินหน้าเปิดตัวโรงงานพรีคาสท์แห่งแรกของบริษัทภายใต้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Semi Automated Carousel System ที่ทันสมัยที่สุดจากประเทศเยอรมัน มีจุดเด่นในด้านความแม่นยำในการกำหนดชิ้นงาน ทำงานได้รวดเร็ว ลดระยะเวลาการก่อสร้างให้เร็วขึ้นเพียง 75-90 วันต่อการสร้างบ้าน 1 หลัง นอกจากนี้ยังสามารถลดการใช้แรงงาน สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตให้มีความคล่องตัวสูงเพื่อรองรับการดีไซน์แบบบ้านสไตล์แสนสิริในอนาคตอีกด้วย โดยปัจจุบันโรงงานดังกล่าวมีอัตราการผลิต 52,000 ตร.ม./เดือน หรือ 150 หลัง/เดือน