นักวิเคราะห์ฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้าดีดตัวขึ้นต่อตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย หลังจากดัชนีหุ้นดาวโจนส์เมื่อคืนพุ่งไปแรงกว่า 300 จุดตอบรับปัจจัย Fiscal Cliff คลี่คลายไปด้วยดี รวมทั้งคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาเป็นบวก ปัจจัยในประเทศกลับมาลุ้นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ที่คาดเริ่มประกาศงบ'ปี 55 ปลายเดือนนี้ วันนี้ให้แนวต้าน 1,420 จุด ส่วนแนวรับ 1,400 จุด
นายธีรวุฒิ กานต์นิภากุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้โดยรวมยังปรับตัวขึ้นต่อได้ตามตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียที่บวกขึ้นมาต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ หลังจากคลี่คลายความกังวลสถานการณ์ Fiscal Cliff และการคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาในทิศทางบวก
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นอาจมี Momentum ของแรงเก็งกำไรที่เข้ามาต่อเนื่องทำให้ตลาดยังไปต่อได้ โดยประเด็นที่ต้องติดตามหลังจาก Fiscal Cliff ก็เป็นเรื่องของการประกาศงบการเงินปี 55 ของกลุ่มธนาคารและบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในประเทศที่จะเริ่มขึ้นช่วงปลายเดือนนี้
พร้อมให้แนวต้านวันนี้ที่ 1,420 จุด แนวรับ 1,400 จุด
ส่วนนายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นเอเชียบวกขึ้นเช้านี้มาจากปัจจัย 3 เรื่องคือ ปัญหา Fiscal Cliff คลี่คลาย ตลาดหุ้นดาวโจนส์พุ่งขึ้นแรงกว่า 300 จุด รวมทั้งตัวเลขเศรษฐกิจในภาคบริการของจีนขยายตัวได้ดีขึ้น หลังจากภาคการผลิตที่ออกมาเมื่อวานนี้ยังทรงตัวในระดับที่ดี
ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :
- ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อวานนี้(2 ม.ค.)ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 13,412.55 จุด เพิ่มขึ้น 308.41 จุด(+2.35%) ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,462.42 จุด เพิ่มขึ้น 36.23 จุด(+2.54%) และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 3,112.26 จุด เพิ่มขึ้น 92.75 จุด(+3.07%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 78.56 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 47.12 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 10.14 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 23.64 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 7.30 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 0.83 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 9.93 จุด
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น, ตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันหยุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดเมื่อวานนี้(2 ม.ค.)1,407.45 จุด เพิ่มขึ้น 15.52 จุด(+1.11%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 721.82 ล้านบาท เมื่อ 2 ม.ค.56
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการวานนี้(2 ม.ค.)ที่ 93.12 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.30 ดอลลลาร์หรือ 1.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดเมื่อวานนี้(2 ม.ค.) ปิดที่ 6.9 เหรียญฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิดตลาดเช้าที่ระดับ 30.36/38 ทรงตัวจากวานนี้
- "พาณิชย์"เผยเงินเฟ้อปี 2555 เพิ่มขึ้น 3.02% วางกรอบปีนี้ 2.8-3.4% กังวลราคาสินค้าเกษตรและอาหารดันเงินเฟ้อพุ่ง ปรับตะกร้าคำนวณเพิ่มรายการสินค้าใหม่ชี้ปัจจัยค่าแรง 300 บาท กระทบเงินเฟ้อเพิ่ม 0.1% ไม่กดดันปรับราคาสินค้า เนื่องจากผู้ประกอบการผวาสูญเสียตลาด
- รองอธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ยอดใช้สิทธิโครงการรถคันแรกเป็นทางการมีจำนวนทั้งสิ้น 1.25 ล้านคันเป็นเงินที่ต้องจ่ายคืน 9.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นการทยอยจ่ายหลังจากที่ผู้ใช้สิทธิได้ครอบครองรถไปแล้ว 1 ปี
- สศค. ยันอัตราเงินเฟ้อพุ่งเกิน 3% ในปีนี้ไม่เป็นอุปสรรคและแรงกดดันให้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติ ขณะที่มุมมองจากผู้บริหารบล.กสิกรไทย เชื่อว่าเงินเฟ้อพุ่งแรง-ค่าแรง 300 บาท ยังอยู่ในกรอบที่จะเป็นปัจจัยกดดันให้ "กนง."ปรับเปลี่ยนทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย คาดจะคงดอกเบี้ยในการประชุมนัดแรกในวันที่ 9 ม.ค. นี้ ไว้ที่ 2.75% ตามเดิม
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดสินเชื่อแบงก์ปีนี้โตต่อเนื่องใกล้เคียงปีก่อนที่ระดับ 10-13% สินเชื่อเอสเอ็มอีนำโตแซงสินเชื่อรายใหญ่ ดันสัดส่วนต่อพอร์ตรวมแตะ 56% ขณะที่รายย่อยยังรับแรงหนุนเช่าซื้อรถยนต์คาดโตได้ 17-19% แต่ระวังความเสี่ยงด้านการบริหารหนี้
- สภาพัฒน์คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตได้เกิน 5.5% หลังสัญญาณเศรษฐกิจโลกดีต่อเนื่อง การลงทุนในประเทศแข็งแกร่ง ลั่นส่งออกโตได้ถึง 12% ด้านธนาคารแห่งประเทศไทยฟันธงไม่มีปัจจัยเสี่ยงให้ห่วงมากนัก คาดโตเกิน 4.6% การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเป็นปัจจัยหนุน
- นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เปิดเผยถึงนโยบายการบริหารในปี 56 ว่าสถาบันได้ปรับกลยุทธ์การบริหารงานใหม่ เนื่องจากกระทรวงการคลังลดเงินค่าธรรมเนียมเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากที่เรียกเก็บจากสถาบันการเงินในอัตรา 0.47% ของยอดเงินฝากเหลือเพียง 0.01%
*หุ้นเด่นวันนี้
- PLE(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)“ซื้อเก็งกำไร"เป้า 3.10 บาท มีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี 56 รับอานิสงส์โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมากของภาครัฐ, ความสามารถการทำกำไรจะดีขึ้นมากหลังเสร็จสิ้นการตั้งสำรองหนี้สูญโครงการบ้านเอื้ออาทร และบริษัทย่อยในกาตาร์ทั้งจำนวนในปี 55 โดยปี 56 คาดว่าจะ Turnaround พลิกเป็นกำไรสุทธิ 194 ล้านบาท รวมทั้งยังมี Valuation ค่อนข้างต่ำ
- THCOM(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้า 28 บาท บรรลุข้อตกลงกรอบข้อกำหนดการขายไอพีสตาร์ในจีนกับบริษัท วาสซัคเซส โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด(Vast)โดยสัญญารายละเอียดต่างๆ จะแล้วเสร็จภายใน 31 มี.ค. 2013 เป็นข่าวดีที่ Vast จะช่วยให้การขายช่องสัญญาณของ iPSTAR ในจีนทำได้รวดเร็วขึ้นและถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วขึ้นจากปัจจุบันที่มีการใช้งานเพียง 2-3% จากช่องสัญญาณทั้งหมดที่มีในจีนประมาณ 24% แม้ว่าจะยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนว่ารูปแบบสัญญาเป็นอย่างไร แบ่งรายได้กันเท่าไร แต่การที่บริษัทตกลงกันได้ถือว่าเร็วกว่าที่คาด
- TOP(เกียรตินาคิน)"ซื้อ"เป้า 76 บาท คาดกำไร 4Q55 จากธุรกิจปิโตรเคมีของ TOP ที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ทั้งจาก Spread Margin อุปสงค์ตามฤดูกาล และการเพิ่มกำลังการผลิต นอกจากนี้ ความได้เปรียบทางด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับภูมิภาคเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงในธุรกิจโรงกลั่นที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากค่าการกลั่นที่ต่ำลงเป็นแค่ผลกระทบระยะสั้นๆ มองว่า TOP ยังน่าสนใจในแง่ของส่วนต่างราคา
- SIRI(เกียรตินาคิน)"ซื้อเก็งกำไร"เป้า 3.80 บาท กลยุทธ์การตลาดเชิงรุก ยังทำให้ SIRI สามารถสร้างยอดขายที่แข็งแกร่ง โดยงวด 11 เดือนบริษัทมียอดขายรวมกว่า 4.1 หมื่นล้านบาท และยังมีงานในมือสะสมอีก 5 หมื่นล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จึงคาดว่า ผลประกอบการใน 4Q54 จะเติบโตโดดเด่น รับรู้รายได้ระดับ 1.หมื่นล้านบาท มีเงินปันผลจ่ายงวดปีที่สูงที่สุดในกลุ่มที่ระดับ 4.5%