ดัชนี Euro Stoxx 50 ปรับตัวลง 0.4% ปิดที่ 2,701.22 จุด
อย่างไรก็ตาม Stoxx 600 ดีดขึ้น 0.5% ปิดที่ 286.83 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3721.17 จุด ลบ 12.76 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 7756.44 จุด ลบ 22.34 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นอังกฤษปิดที่ 6047.34 จุด บวก 19.97 จุด
ในช่วงแรกนั้น ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นขานรับรายงานที่ว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ มีมติด้วยคะแนนเสียง 257 ต่อ 167 ผ่านร่างกฎหมายเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลัง และประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายในเวลาต่อมา
แต่ตลาดหุ้นยุโรปอ่อนแรงลง หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ออกมาเรียกร้องให้สภาคองเกรสสหรัฐดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าเพียงแค่การทำข้อตกลง เพื่อทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบัน พร้อมกับเตือนว่าหากฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถทำให้ยอดขาดดุลลดลงได้ อันดับความน่าเชื่อถือ AAA ของรัฐบาลสหรัฐก็อาจจะเผชิญความเสี่ยง ทั้งนี้ เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้ว มูดีส์เคยเตือนว่า อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลง 1 ขั้น หากสหรัฐไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องงบประมาณภายในสิ้นปี 2555 โดยมูดีส์ได้ให้แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐไว้ในเชิงลบ ซึ่งเป็นการเตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในวันข้างหน้า
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลด้านแรงงานที่ผันผวนในสหรัฐ โดย ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 215,000 รายในเดือนธ.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ราย
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 ธ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 372,000 ราย ส่วนจำนวนผู้รับสวัสดิการว่างงานติดต่อกันโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์
หุ้นมิวนิค รี ปรับตัวลง 0.7% หลังจากบริษัทออกรายงานเตือนว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมเป็นมูลค่า 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2555 โดยยอดเคลมประกันจากพายุเฮอร์ริเคนแซนดี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบสองในห้าของทั้งหมด
ขณะที่หุ้นบีพีพุ่งขึ้น 2.4% ส่วนหุ้นเน็กซ์ในกลุ่มค้าปลีก ดีดตัวขึ้น 2.7% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรปี 2556
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่อ่อนแรงลง โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ขยับลง 0.4% และหุ้นริโอทินโตปรับตัวลง 0.9%