"ปีนี้ที่ตั้งเป้ายอดขายโต 10% ยังได้รับอานิสงส์จากกลุ่มรถยนต์ ความต้องการเหล็กรีดเย็นสำหรับออเดอร์เก่าก็ยังเยอะอยู่ ส่วนเหล็กรีดร้อนผู้ผลิตในไทยยังมีน้อยบางโรงก็ยังไม่พร้อม จึงมองการนำเข้าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ ขณะที่เหล็กหลังคาเมื่อติดตั้งเครื่องจักรเสร็จสามารถรับออเดอร์เพิ่มจากเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นได้อีกราว 60-70%"นายชูเกียรติ กล่าว
ขณะที่ในปี 55 คาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะอยู่ที่แค่ 4-5% เพราะช่วงต้นปีโรงงานของลูกค้าได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อปิดสิ้นปีกำไรสุทธิปี 55 น่าจะทำได้สูงกว่าปี 54 ที่มีกำไรสุทธิ 37 ล้านบาท เนื่องจากในช่วง 9 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิแล้ว 18.9 ล้านบาท และไตรมาส 4/55 เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นตามปกติที่กำไรของบริษัทในไตรมาส 3-4 จะดีกว่าครึ่งปีแรก
นายชูเกียรติ กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาทในปี 56 ซึ่งจะนำไปใช้ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ 50 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรเพิ่มอีก 3 เครื่อง 50-60 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในพื้นที่เดิมแล้ว คาดจะเสร็จปลายไตรมาส 2/56 นี้ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเหล็กหลังคา และเหล็กเกรดพิเศษ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 2-3 แสนตร.ม./ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 7 หมื่นตร.ม./ปี คาดว่ารายได้จากกำลังการผลิตที่เพิ่มใหม่จะเข้ามาในไตรมาส 3/56 เนื่องจากการผลิตเหล็กหลังคาเกรดพิเศษมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้มาจากเหล็กรีดเย็น 30% เหล็กรีดร้อน 50% ที่เหลือเป็นหล็กหลังคา 20% แต่ในอนาคตรายได้จากเหล็กหลังคาจะเพิ่มขึ้น
นายชูเกียรติ กล่าวว่า บริษัทมีแผนงานรุกตลาดอาเซียนรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยขณะนี้ได้เจรจากับพันธมิตรในพม่าซึ่งเป็นลูกค้าเดิมของบริษัท เพื่อเข้าร่วมลงทุนโรงงานผลิตเหล็กหลังคา เหล็กก่อสร้าง ท่อเหล็ก ในประเทศพม่า จำนวนงเนิลงทุนเบื้องต้นประมาณ 20-30 ล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมที่ดินที่บริษัทได้ซื้อไว้แล้ว
"สัดส่วนการถือหุ้นอยู่ระหว่างการเจรจา...เราลงทุนที่พม่า เพราะพม่ามีประชากร 60 กว่าล้านคน และค่าแรงถูกกว่าไทย กลุ่มลูกค้าหลักที่เราจะขายสินค้าให้เป็นนักลงทุนต่างประเทศที่เข้าไปสร้างโรงงานในพ่ม่า ส่วนจะได้เห็นเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับข้อกฎหมายของรัฐบาลพม่า แต่ภาคเอกชนพร้อมแล้ว"นายชูเกียรติ กล่าว