อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน ตลอดจนกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้าที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความเสี่ยงที่บริษัทต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโครงการคอนโดมิเนียม “โนเบิล เพลินจิต“ ซึ่งมีมูลค่าถึง 15,600 ล้านบาท รวมถึงลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นและภาวะการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างในปัจจุบันด้วย
ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทมีสถานะต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นเนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนของเงินกู้ที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์ในระดับสูง ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถเปิดขายโครงการและส่งมอบที่อยู่อาศัยได้ตามกำหนด ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วงการก่อสร้างโครงการ “โนเบิล เพลินจิต" อย่างไรก็ตาม ยังมีความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับเท่ากับหรือต่ำกว่า 2 เท่าได้
NOBLE เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 ตระกูลธนากิจอำนวยและเครือญาติยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2555 มีสัดส่วนการถือหุ้นรวมกัน 13% วิธีการออกแบบที่อยู่อาศัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้โครงการของบริษัทมีความแตกต่างไปจากโครงการของผู้ประกอบการรายอื่น บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยหันมานิยมการมีที่พักอยู่ในเมืองมากขึ้น
ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2555 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย 16 โครงการด้วยมูลค่าเหลือขายประมาณ 12,000 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบนับจากนี้ไปจนถึงปี 2560 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 12,600 ล้านบาท โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยคอนโดมิเนียมซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 82% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 8% ทาวน์เฮ้าส์ 7% และที่ดินเปล่า 3%
ยอดขายของบริษัทในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2555 ลดลงอย่างมากเหลือ 2,437 ล้านบาท จาก 7,453 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมเพียงโครงการเดียว คือ “โนเบิล รีวอลฟ์" และจากยอดขายที่ต่ำกว่าคาดการณ์ในโครงการ “โนเบิล เพลินจิต"
รายได้รวมของบริษัทในปี 2554 ลดลงมาอยู่ที่ 2,910 ล้านบาท โดยลดลง 43% จาก 5,105 ล้านบาทในปี 2553 เนื่องจากบริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมเพียง 2 โครงการเท่านั้นที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนคือ “โนเบิล รีมิกซ์ 2" และ “โนเบิล รีวีล" นอกจากนี้ มูลค่าการโอนของโครงการ “โนเบิล รีมิกซ์ 2" และ “โนเบิล รีวีล" ก็คิดเป็นเพียง 49% และ 59% ของมูลค่าโครงการตามลำดับเท่านั้น
และ รายได้ในปี 2555 ของบริษัทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ลดลงเป็น 1,252 ล้านบาท จาก 2,228 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยบริษัทได้รับผลกระทบจากการโอนที่ล่าช้าในโครงการ “โนเบิล รีฟอร์ม"
แม้รายได้ที่ผ่านมาจะลดลง แต่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงมาตั้งแต่ปี 2553 โดยอยู่ที่ระดับ 38%-40% ของรายได้ในช่วงปี 2553 ถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2555 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 13.33% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 จาก 20.87% ในปี 2554 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากฐานรายได้ที่ลดลง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555
บริษัทมีเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 7,778 ล้านบาท จาก 6,279 ล้านบาทในปี 2554 ทั้งนี้ ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในโครงการ “โนเบิล เพลินจิต" บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจากระดับที่ต่ำกว่า 1 เท่าในปี 2552 เป็น 1.4 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 กระแสเงินสดของบริษัทก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน
อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเป็น 0.94% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 จาก 25.46% ในปี 2553 และ 5.60% ในปี 2554 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายก็ลดลงเป็น 1.72 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 จาก 9.26 เท่าในปี 2553 และ 2.81 เท่าในปี 2554