ล่าสุด มูลค่าหน่วยลงทุนของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7)" สามารถเข้าถึงเป้าหมาย 11.00 บาทต่อหน่วยได้ เมื่อวันที่ 2 ม.ค.56 โดยมีมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 11.0190 บาทต่อหน่วย คิดเป็นระยะเวลาลงทุนเพียง 1 เดือน 25 วัน ซึ่ง บลจ.ไอเอ็นจี จะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนจากผู้ถือหน่วยทุกราย ในวันที่ 9 ม.ค.56 และจะนำเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนไปลงทุนในกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย แคช แมเนจเม้นท์
“ในปี 55 ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับความผันผวนทั้งจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุนทั้งภายนอกและภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในสหรัฐฯ วิกฤติหนี้สาธารณะของกลุ่มยูโรโซน เมื่อผนวกกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลกหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย กลุ่มประเทศเกิดใหม่อีกหลายประเทศ รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ยังคงมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยนับตั้งแต่ต้นปี 55 นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 35.69% สูงที่สุดในรอบ 16 ปี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยสนับสนุนให้กองทุนในกลุ่ม “อีควิตี้ ทริกเกอร์" ภายใต้การบริหารของ บลจ.ไอเอ็นจี สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยใช้ระยะเวลาไม่นานเพียง 1 เดือน 25 วันเท่านั้น"ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 55 กองทุนในกลุ่ม ‘อีควิตี้ทริกเกอร์’ ของ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและถึงเป้าหมายได้ก่อนกำหนดทั้ง 3 กองทุน โดยใช้ระยะเวลาไม่นาน ได้แก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (5) และ (6) ใช้ระยะเวลาเพียง 3 เดือน 19 วัน ส่วนกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย ทริกเกอร์ 10% (7) ซึ่งเป็นกองทุนที่มีสามารถสร้างยอดขายสูงสุดในช่วงเสนอขาย IPO สำหรับกองทุนกลุ่ม ‘อีควิตี้ ทริกเกอร์’ ของปี 2012 ด้วยมูลค่า 2,272.50 ล้านบาท สามารถถึงเป้าหมายโดยใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือน 25 วัน ซึ่งเราต้องขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจลงทุนในกองทุนของ บลจ.ไอเอ็นจี มาโดยตลอด และเราจะยังคงมุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง"นายจุมพล กล่าว