ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี บีอี (KFF1YBE) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.25% ต่อปี กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน เอเอ็กซ์ (KFI6MAX) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.95% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ซีเอ (KFI3MCA)โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี โดยผลตอบแทนจากทั้ง 3 กองทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15%
“แนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ทั้งพันธบัตรรัฐบาลรวมถึงตราสารหนี้เอกชนระยะสั้นยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงไปจนถึงอย่างน้อยกลางปีนี้ ดังนั้น การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดระยะเวลา จึงควรที่จะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อล็อกอัตราผลตอบแทนเอาไว้ก่อนที่อัตราผลตอบแทนในตลาดจะปรับตัวลดลง" นายนาวิน กล่าว
สำหรับตราสารที่กองทุน KFF1YBE จะลงทุนในเบื้องต้น ได้แก่ ตราสารหนี้ Banco Bradesco ตราสารหนี้ Itau Unibanco S.A. และตราสารหนี้ Banco Santander ในประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch ที่ BBB+, BBB+ และ BBB ตามลำดับ ร่วมด้วยเงินฝาก Standard Chartered Bank สาขาสิงคโปร์ (AA-/Fitch) และเงินฝาก Union National Bank ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (A+/Fitch)
ด้านกองทุน KFI6MAX จะลงทุนเบื้องต้นในตราสารหนี้ Banco Santander, ประเทศบราซิล (F2/Fitch) ตราสารหนี้ Standard Chartered Bank สาขาสิงคโปร์ (A-1+/S&P) พร้อมด้วย เงินฝาก Commercial Bank of Qatar ประเทศกาตาร์ (A/Fitch) ตราสารหนี้ ธนาคารธนชาต (F1+ tha/Fitch) และตั๋วแลกเงิน บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (A+/TRIS)
สำหรับกองทุน KFI3MCA มีแผนจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเม็กซิโก (F2/Fitch) ตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A. ประเทศบราซิล (F3/Fitch) เงินฝาก Union National Bank ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (F1/Fitch) เงินฝาก Commercial Bank of Qatar ประเทศกาตาร์ (F1/Fitch) และตั๋วแลกเงิน บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (A+/TRIS) โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก บลจ. กสิกรไทยจะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน บีคิว (KPPTF3MBQ) ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยกองทุนดังกล่าวจะลงทุนส่วนใหญ่ในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากประจำ 3 เดือน ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ประมาณการโอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.60% ต่อปี