อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย รวมถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง การมีสินค้าที่หลากหลาย และมูลค่าโครงการที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนแรงกดดันจากราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้นและการขาดแคลนแรงงานรวมถึงภาระหนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในระยะปานกลาง
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันที่เข้มแข็งในกลุ่มสินค้าหลักและจะสามารถปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมได้อย่างมีความสมดุล นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงดำรงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไปและจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับประมาณ 50% ในระยะปานกลางไว้ได้
AP ก่อตั้งในปี 2533 โดยนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน และนายพิเชษฐ วิภวศุภกร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของบริษัท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 10.6 พันล้านบาท นับเป็นบริษัทที่มีรายได้สูงสุดอันดับ 4 ในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้อยู่ที่ 7% ต่อปี ทั้งนี้ บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 4-5 พันล้านบาทต่อไตรมาสโดยเฉลี่ย หรือประมาณ 16-20 พันล้านบาทต่อปีนับตั้งแต่ปี 2552
บริษัทมีสินค้าอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยครอบคลุมในเกือบทุกประเภทซึ่งอยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 1 ล้านบาทต่อหน่วยขึ้นไป โดยสินค้าในแต่ละกลุ่มสามารถสร้างยอดขายและมีส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับที่น่าพอใจ บริษัทมีผลประกอบการที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มตลาดทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมในระดับราคาปานกลางถึงสูง ทั้งนี้ บริษัทเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก
ทริสเรทติ้งคาดว่า ในระยะปานกลาง รายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 15-20 พันล้านบาทต่อปี โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้อยู่ในช่วงตัวเลขหลักเดียวช่วงสูง ทั้งนี้ โอกาสที่รายได้ของบริษัทจะเติบโตน้อยกว่าประมาณการมีค่อนข้างต่ำเนื่องจากบริษัทมีมูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวนมาก ณ เดือนพฤศจิกายน 2555 มูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบของบริษัทอยู่ที่ 27.4 พันล้านบาท ซึ่งมูลค่าดังกล่าวจะรับรู้เป็นรายได้ประมาณเกือบกึ่งหนึ่งของฐานเฉลี่ยรายได้ของบริษัทจนถึงปี 2557
บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 16.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรดังกล่าวจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 20% ในระยะปานกลางหลังจากที่รายได้จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้นและสัดส่วนรายได้ที่มาจากโครงการราคาต่ำที่เพิ่มมากขึ้นก็อาจเป็นแรงกดดันต่ออัตราส่วนกำไรได้
อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 อยู่ที่ 53.5% ปรับตัวดีขึ้นจาก 57.2% ณ สิ้นปี 2554 ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะรักษาอัตราส่วนภาระหนี้ต่อทุนให้อยู่ที่ 1 เท่า โดยเมื่อสิ้นเดือนกันยายน 2555 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.12 เท่า ทริสเรทติ้งมองว่าเป้าหมายอัตราส่วนภาระหนี้ต่อทุนดังกล่าวของบริษัทอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนภาระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวดีมากขึ้นหลังจากปี 2556 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทเปิดโครงการคอนโดมิเนียมค่อนข้างมากในช่วงปี 2552-2553 ซึ่งโครงการเหล่านี้คาดว่าจะโอนได้เกือบทั้งหมดภายในปี 2556
ทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 พันล้านบาทต่อปีในระยะปานกลาง ซึ่งเงินทุนจากการดำเนินงานในระดับดังกล่าวน่าจะเพียงพอสำหรับแผนการขยายธุรกิจและการจ่ายเงินปันผลของบริษัท โดยภาระหนี้ของบริษัทมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ในปี 2556 เพื่อรองรับการขยายโครงการใหม่
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2555 หุ้นกู้มีสัดส่วนคิดเป็น 75% ของภาระหนี้รวมของบริษัท การที่บริษัทมีภาระหนี้ที่มีหลักประกันในระดับต่ำทำให้อันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทเท่ากับอันดับเครดิตของบริษัท หุ้นกู้ของบริษัทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนระหว่างปี 2556-2559 มีมูลค่าประมาณ 2-3 พันล้านบาทต่อปี บริษัทคาดว่าจะไถ่ถอนคืนหุ้นกู้ส่วนใหญ่ด้วยเงินสดจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินที่สามารถรองรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ได้เช่นกัน