ธนาคารจะดำเนินการดังกล่าวกับทุกบริษัทในเครือ ได้แก่ บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) ซึ่งสามารถพลิกฟื้นการดำเนินงานจนทำกำไรสุทธิได้ในไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา บริษัท กรุงไทยลีสซิ่ง และบริษัท กรุงไทย ไอบีเจลีสซิ่ง ซึ่งให้บริการลีสซิ่งและเช่าซื้อ บริษัท กรุงไทย แอดไวซ์เซอรี่ และบริษัท เคทีบี ซิมิโก้ ที่ให้บริการให้คำปรึกษาและธุรกิจหลักทรัพย์ รวมทั้ง บลจ.กรุงไทย ซึ่งให้บริการจัดการกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคล และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารในอันดับต้นๆของประเทศ ตลอดจนบริษัทประกันในเครือทั้ง 2 แห่ง คือ บมจ. กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต และ บมจ. กรุงไทยพานิชประกันภัย
อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารได้ขายหุ้น บมจ. กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต และ บมจ. กรุงไทยพานิชประกันภัย ให้กับบริษัท กรุงไทย ร่วมทุน ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออีกแห่งหนึ่งของธนาคาร ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมานั้น เป็นเพียงการปรับโครงสร้างการถือหุ้น เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย และพระราชบัญญัติประกันชีวิต โดยทั้ง 2 บริษัท ยังคงเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคาร และธนาคารจะให้การสนับสนุน รวมถึงให้บริการกรมธรรม์ประกันประเภทต่างๆ ผ่านช่องทางของธนาคารเช่นเดิม
สำหรับผลประโยชน์ต่างๆ ที่ธนาคารได้รับจากการถือหุ้นของบริษัทประกันทั้ง 2 แห่งนั้น ยังไม่ต่างไปจากเดิม และในอนาคตเมื่อมีการแก้ไขกฎหมายด้านประกันวินาศภัยและประกันชีวิตเรียบร้อยแล้ว ธนาคารจะโอนหุ้นบริษัทประกันทั้ง 2 แห่งกลับมาถือผ่านธนาคารโดยตรงเช่นเดิม ซึ่งลูกค้าสามารถมั่นใจในความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัททางการเงินของธนาคาร