“เรามองแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งมีรถยนต์หลายรุ่นที่เปลี่ยนมาใช้เบาะหนังของบริษัทฯ เช่น Isuzu D-max, Mu-7, Misubishi Lancer, Cheveloret ทำให้มีออเดอร์เพิ่มเข้ามามากขึ้น นอกเหนือจากรถยนต์ที่ใช้เบาะหนังของบริษัทฯอยู่แล้ว เช่น Honda Civic และคาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะมียอดผลิตรถยนต์ออกมาได้ 2 ล้านคันภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี ทำให้บริษัทฯมีออร์เดอร์รองรับยาวไปจนกึงถึง 2-3 ปีข้างหน้า น่าทำให้รายได้ของบริษัทฯทะลุ 2 พันล้านบาทภายใน 2-3 ปีข้างหน้าได้"นายวีระพล กล่าว
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้เบาะหนังรถยนต์ในประเทศอยู่ที่ 50% จากเดิมอยู่ที่ 70% เนื่องจากสัดส่วนรายได้เบาะหนังรถยนต์ที่ส่งออกต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาเป็น 50% เพราะว่าปริมาณรถยนต์ที่ผลิตในประเทศแล้วส่งออกไปต่างประเทศมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น บริษัทฯจึงได้รายได้ในส่วนของการส่งออกเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งบริษัทฯมีลูกค้าในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่บริษัทฯส่งออกเบาะไปจำหน่ายอยู่แล้ว
ล่าสุด บริษัทฯได้มีการเจรจากับลูกค้าในอินเดียเพื่อผลิตเบาะหนังรถแวนให้ ซึ่งเป็นรถแวนแบรนด์ท้องถิ่นของอินเดีย โดยมีมูลค่าตามสัญญาอยู่ที่ 12 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี และอายุสัญญาไม่ต่ำกว่า 4 ปี ซึ่งภายในสิ้นเดือนมกราคม 56 บริษัทฯจะมีการยื่น PO และเตรียมส่งสินค้าล็อตแรกไปได้ภายในไตรมาส 2/56
สำหรับโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรจากสหรัฐฯในการสร้างโรงงานฟอกหนังในประเทศกัมพูชา คาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 4 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเงินลงทุนคนละครึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นเอกสารขออนุญาตจัดตั้งโรงง่าน โดยในไตรมาส 1/56 จะมีได้รับเอกสารการอนุญาต จากนั้นก็จะเริ่มเข้าไปลงทุน
นอกจากนั้น บริษทยังเตรียมเงินลงทุนไว้อีก 20 ล้านบาท แบ่งเป็นไว้ใช้สำหรับการขยายไลน์การผลิตของโรงงานภายในประเทศ เพื่อรองรับออเดอร์ใหม่ที่จะเข้ามา