APCO ตั้งเป้ารายได้ปี 56 โตกว่า 10% จากปีนี้, เล็งลงทุน 200 ลบ.ปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 9, 2013 13:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิเชษฐ์ วิริยะจิตรา กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์(APCO)คาดว่า ในปี 56 บริษัทจะมีรายได้รวมโตไม่น้อยกว่า 10% เป็นผลจากการแนะนำผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงามให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น และขยายเครือข่ายผู้ใช้ ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทในประเทศออกไปอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ตลาดต่างประเทศ คาดว่า จะมียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผู้ป่วยมะเร็ง ภายใต้แบรนด์ Th17 สูงขึ้น โดยภายในไตรมาส 1/56 บริษัทจะร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในการจัดตั้งบริษัท Th17 Singapore และ Th17 USA ขึ้นเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งพันธมิตรทั้ง 2 ประเทศจะเป็นผู้ดำเนินการด้านการตลาด ขณะที่ บริษัทจะเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับทั้ง 2 แห่ง

นอกจากนี้ ในเดือนก.พ.นี้ ทางบริษัท Pharma GIC มีกำหนดเดินทางมาไทย เพื่อลงนามตกลงจำหน่ายผลิตภัณของบริษัท ในกลุ่มสหภาพยุโรปในปี 56 และในช่วงปีนี้และต้นปี 57 จะมีความแน่นอนเรื่องการเข้าไปขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและสุขภาพในอินโดนีเซีย และฟิลิปินส์

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 55 นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า รายได้น่าจะใกล้เคียงกับปี 54 แต่ผลกำไรจะเพิ่มมากกว่าปี 54 จากสัดส่วนกลุ่ม กลุ่ม Operation BIM มีสัดส่วน 60% และมีกำไรขั้นต้นที่ 60% ขณะที่ผลิตภัณฑ์ความงาม มีสัดส่วนการขายที่ 40% และกำไรขั้นต้นที่มากกว่า 80%

นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า บริษัทมีเงินสดกว่า 200 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ได้ใช้เงินส่วนนี้ไปลงทุนระยะสั้นกับสถาบันการเงิน ซึ่งได้ดอกเบี้ยที่ 3.5-4% แต่ในปีนี้จะลงทุนเพิ่มใน 3 รายการ คือ เปิดบริษัท APCO Marketing Communication ใช้เงินลงทุนประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อเผยแพร่โฆษณา ประชาสัมพันธ์ และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในส่วนของผลิตภัณฑ์ LIV ยาต้านโรคเอดส์ และ Th17 คาดว่าจะเปิดตัวช่วงก.พ. 56

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ LIV อยู่ระหว่างการทดลอง โดยกำหนดประกาศผลการทดลองในวันที่ 6 พ.ย. 56 จากนั้นจะเน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางผู้มีวิชาชีพด้านการแพทย์

พร้อมกันนั้น บริษัทอยู่ระหว่างเจรจราร่วมทุนโรงงานผลิตอาหารสำหรับวัตถุประสงค์พิเศษ 3. จะมีการควบรวมกับบริษัทที่มีกิจการที่เอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของบริษัท ยังอยู่ระหว่างเจรจาคาดเสร็จสิ้นภายในปีนี้แน่นอน

สำหรับ ผลจากการขึ้นค่าแรงทั่วประเทศ 300 บาท/วัน ทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการปรับราคาขายให้กับซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้น 15% แต่ปรับขึ้นราคาที่จำหน่ายกับผู้บริโภคราว 5%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ