พร้อมเปิด 78 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 5.5 หมื่นล้านบาท เป็นทาวน์เฮ้าส์ 47 โครงการ บ้านเดี่ยว 16 โครงการ คอนโดมิเนียม 13 โครงการ และโครงการในต่างประเทศ 2 โครงการ โดยโครงการที่พัฒนาส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัดมี 7 โครงการ
ปัจจุบัน มียอดขายรอรับรู้รายได้(Backlog) จำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท โดยจะร้บรู้รายได้ปีนี้ 2.4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของเป้ารายได้ในปีนี้
"ปีนี้เรา focus เรื่องปรับปรุงการทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการคุณภาพและบริการอย่างต่อเนื่อง ...จาก Banklog ที่มีอยู่ มั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้"นายทองมา กล่าว
นายทองมา กล่าวอีกว่า ในปีนี้มองว่าภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากการที่คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวที่ 6% ดอกเบี้ยในตลาดยังอยู่ในระดับต่ำ แต่มองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ เนื่องจากความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังซื้อเพื่ออยู่มากกว่า โดยผู้บริโภคยังเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ประกอบกับสถาบันการเงินยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
ทั้งนี้ มองว่าในปีนี้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในระบบน่าจะปรับขึ้นเฉลี่ยที่ 5% ตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในส่วนของ PS มีแผนปรับขึ้นราคาขายเช่นกัน แต่คงปรับไม่ถึง 5% ตามระบบ ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ มองว่าผู้ประกอบการคงต้องปรับตัว ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน คงต้องมีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวมากเพิ่มขึ้น
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ PS กล่าวว่า เป้าหมายรายได้ในปี 56 ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท ยังเป็นสถิติสูงสุดต่อเนื่องในรอบ 20 ปี และมีโอกาสที่รายได้ปีนี้จะเกิน 4 หมื่นล้านบาทได้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมี backlog 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 2.4 หมื่นล้านบาท ประกอบกับมีคอนโดมิเนียมที่จะสร้างเสร็จพร้อมโอนให้ลูกค้าอีก 7 โครงการ ไม่รวมยอดขายจากทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวที่พร้อมส่งมอบให้ลูกค้า
สำหรับโครงการในประเทศต่างประเทศ 2 โครงการ ปีนี้คาดว่าจะสามารถเปิดการขายโครงการในเวียดนามได้ในช่วงไตรมาส 3/56 หลังจากที่ได้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว ส่วนโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ที่บังกาลอร์ ประเทศอินเดีย โครงการแรก มูลค่า 1.65 พันล้านบาท สามารถโอนให้ลูกค้าได้แล้ว 250 ล้านบาท จากยอดจอง 720 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการจัดหาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มอีก ขณะที่โครงการที่มัลดีฟ คาดว่าจะปิดโครงการได้หมดในไตรมาส 1/56
ในปี 56-57 ได้ตั้งงบจัดซื้อที่ดินรวม 9.2 พันล้านบาทและยังไม่มีแผนขยายโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป(พรีคาส) เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้กำลังการผลิตที่ 60% สามารถรองรับการเติบโตของบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ได้อีก 3 ปี
บริษัทยังมีแผนระดมเงินโดยการออกหุ้นกู้ วงเงิน 5 พันล้านบาท อายุ 3-5 ปี ในช่วงกลางปี 56 เพื่อทดแทนเงินกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน วงเงิน 4.5 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนหุ้นกู้เฉลี่ยที่ 4% อย่างไรก็ตามบริษัทไม่มีแผนการเพิ่มทุน ระดับหนี้สินต่อทุนอยู่ระดับต่ำที่ 0.8 เท่า