(เพิ่มเติม) สภาธุรกิจตลาดทุนฯ เผยแผนปี 56 มุ่งดึงบ.ใหญ่-รสก.ระดมทุนผ่านตลาดหุ้นเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 9, 2013 16:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวถึง แผนงานปี 56 ของสภาตลาดทุนไทยยังคงมุ่งที่จะไปให้ถึงวิชั่น"เป็นกลไกหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจและการกระจายความมั่งคั่ง รวมทั้งเป็นที่หมายและจุดเชื่อมโยงการลงทุนในระดับภูมิภาคและระดับโลก" กล่าวคือ การมุ่งที่จะดึงบริษัทขนาดใหญ่ให้เข้ามาใช้ตลาดทุนเป็นแหล่งระดมทุนมากกว่าการพึ่งพาธนาคารพาณิชย์

ซึ่งจะเห็นได้ว่าปี 55 ตัวเลขสินเชื่อโต 9 แสนล้านบาท เทียบกับระดับการระดมทุนในตลาดทุนแค่ 1 แสนกว่าล้านบาท ถือว่ายังห่างมากในแง่เม็ดเงินเมื่อเทียบกับตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย ที่ช่องว่างตรงนี้แคบกว่าของไทย

"มองว่าในระยะยาวภาคเศรษฐกิจไม่ควรพึ่งธนาคารทั้งหมด ควรสร้างเสาหลักทางการเงินโดยกระจายไปตลาดทุนด้วย เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับธนาคารก็ยังมีตลาดทุนอยู่ ขณะที่การระดมทุนในตลาด ต้นทุนทางการเงินก็ถูกกว่าเพราะระดมทุนโดยตรงกับผู้ออมเงิน ขณะนี้บจ.ในตลาดแค่ 500 กว่าบริษัทถือว่าน้อยมากเทียบกับนิติบุคคล 5-6 แสน ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพเยอะนักลงทุนต่างประเทศก็สนใจแต่ยังไม่เข้ามา" นายไพบูลย์ กล่าว

อีกทั้ง สนับสนุนให้ภาครัฐเห็นความสำคัญของการนำรัฐวิสาหกิจเข้ามาจดทะเบียนในตลาด เพราะนอกจากจะช่วยลดภาระหนี้รัฐบาลแล้วยังเป็นการตรวจสอบการทำงานให้เกิดความโปร่งใส เช่น อย่างกรณี บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่จะเพิ่มทุนครั้งล่าสุดต้องมีการโรดโชว์กว่า 200 ครั้ง ทำให้โปร่งใสมากขึ้น หรือ บมจ.ปตท. (PTT) จะลดราคาก๊าซก็ต้องประกาศโดยทั่วกัน มีนักวิเคราะห์คอยตรวจสอบ สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และการขยายตัวของประเทศ "ในรอบ 12 ปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นปรับขึ้น 40% เป็นที่หนึ่งในเอเชีย และเป็นที่สองของโลกรองจากตุรกี ซึ่งช่วง 1-2 ปีนี้ถือเป็น timing ที่ดี ภาครัฐต้องมองช่วง 1-2 ปีนี้ในการโปรโมทตลาดทุน ประกอบกับเมื่อเปิด AEC ปลายปี 58 หรือต้นปี 59 ก็กังวลว่าบริษัทใหญ่ๆใน AEC ซึ่งระดมทุนผ่านตลาดทุนทั้งหมด เช่น ในสิงคโปร์ โดยการออกตราสารหนี้ ตราสารทุน ต้นทุนทางการเงินถูกก็จะได้เปรียบกว่าเราที่ส่วนใหญ่กู้จากแบงก์"

นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยน่าจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้นก่อนเปิด AEC โดยมองว่ารอบนี้อาจจะสามารถขึ้นไปถึง 1,700 จุด ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า จากปัจจัยอัตราดอกเบี้ยโลกต่ำ และการอัดฉีดเม็ดเงินจากธนาคารประเทศต่าง ๆ สนับสนุนการลงทุนในตลาดทุน "การปรับขึ้นของดัชนีรอบนี้จะจบลงด้วยการดึงเม็ดเงินออกโดยธนาคารกลางของโลก ดอกเบี้ยสูง แนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่มองปีนี้ยังไม่เห็นการดึงสภาพคล่องออกเพราะหน้าผาการคลังของสหรัฐยังไม่จบ ยุโรปก็ยังไม่พ้นวิกฤต การปรับขึ้นของดอกเบี้ยไม่เห็นแน่ ถ้าจะเห็นน่าจะกลางปี 57 ไปแล้ว"นายไพบูลย์ กล่าว

ตลาดหุ้นปีนี้มีความเสี่ยงเดียวคือดัชนี SET ปรับขึ้นมามากถึง 40% ภายใน 12 เดือน ดังนั้น การไปต่อในลักษณะเร็วๆ คงไม่ได้ แต่คงจะค่อย ๆ ปรับขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ กำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)มองว่าภายใน 1-2ปีนี้ยังเป็นปีที่ดีสำหรับการลงทุน เพราะอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ไม่น่าเป็นห่วงมาก ความน่าสนใจยังมีอยู่หุ้นพลังงานปีนี้น่าจะดีตามการใช้พลังงานที่สูงขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ