สำหรับปี 56 ธนาคารคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวต่อเนื่อง GDP จะเติบโตระดับปานกลางประมาณ 4.6% และมีปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นหลัก โดยธนาคารมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนผ่าน 6 กลยุทธ์หลัก คือ 1) การขยายการเติบโตในกลุ่มธุรกิจลูกค้าบุคคล โดยแบ่งลูกค้าตามเซ็กเม้นต์ ผ่านกลยุทธ์ customer centric 2) เพิ่มส่วนแบ่งตลาดในสินเชื่อ SME กลุ่ม 20-50 ล้านบาท
3) สร้างรากฐานในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ เพื่อรองรับการขยายการลงทุนของลูกค้า ทั้งขาเข้า และ ขาออกจากประเทศไทย 4) ยกระดับงานสนับสนุนและปฎิบัติการ (operation) ทั้งหมดของธนาคาร เพื่อรองรับการให้บริการได้อย่างเต็มที่ทั้งด้านปริมาณ และคุณภาพ 5) การพัฒนาบุคลากรผ่านโปรแกรมการเสริมสร้างความรู้และทักษะ (skill building) อย่างเป็นระบบทั่วทั้งองค์กร และ 6) ยกระดับระบบ IT หลัก เช่น ATM Core Bank Payment และสาขา เพื่อให้บริการลูกค้าและรองรับปริมาณธุรกิจจำนวนมากได้ตลอดเวลา และเต็มศักยภาพ
นางกรรณิกา กล่าวอีกว่า ณ วันที่ 1 ม.ค.56 ธนาคารมีระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ตามเกณฑ์บาเซิล 3 ที่ 15.8% เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2 ที่ 4.2% และกองทุนขั้นที่ 1 ที่ 11.6% ถือเป็ฯระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งที่สามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้
"ตั้งแต่ไตรมาส 4/55 เป็นช่วงที่ดีของไทย และมองว่าน่าจะดีต่อเนื่องในไตรมาส 1-2 ของปีนี้ ...ปีนี้ทุกคนรู้สึกดีกันหมด ขอให้ดีอย่างนี้ไปตลอด เพื่อทุกคนจะมีความสุขทั้งของประเทศชาติ และของเรา" นางกรรณิกา กล่าว
ธนาคารยังมีแผนที่จะขยายสาขาในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นประเทศแถบอินโดจีน ล่าสุดได้มีการเปิดสำนักงานตัวแทนที่ประเทศพม่า เมื่อปลายปี 55 และเตรียมเปิดที่ปักกิ่ง โดยได้มีการยื่นเรื่องของอนุญาตจากทางการจีนแล้ว นอกจากนี้มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจ ไม่เน้นการเปิดสาขาในต่างประเทศ แต่อาจจะเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบ เช่น สาขาที่สิงคโปร์ ซึ่งเดิมไม่ค่อยมีการทำธุกรรมมากนัก แต่จากการที่นักลงทุนมีการย้ายฐานการลงทุน จึงอาจมีการยกเครื่องสาขาสิงคโปร์ให้เป็น Hub ในการทำธุรรมประเภทบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และด้านการเงินอื่นๆ