สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มเติบโตไปต่อได้ แต่คงไม่สูงเร็วมากเท่ากับปีที่ผ่านมา เพราะในปี 54 ได้มีการอั้นการลงทุนในช่วงที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม และทำให้นักลงทุนมีความกังวลผลกระทบจากความเสียหายที่ตามมา ทำให้ต่อมาในปี 55 มีการเติบโตสูงมาก แต่ในปีนี้ก็จะเติบโตชะลอลงไปบ้าง นอกจากนั้น จากการที่แนวโน้มการลงทุนในอาเซียนยังเป็นบวกในปีนี้ แต่การเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะพม่าและประเทศเพื่อนบ้านจะต้องผ่านประเทศไทย ซึ่งทำให้ไทยได้รับอานิสงส์ส่วนหนึ่งไปด้วย
ขณะที่ในส่วนของสภาพเศรษฐกิจสหรัฐ มองว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่คงยังไม่ดีขึ้นมากแบบหน้ามือเป็นหลังมือ และด้านยุโรป ก็มองว่าจะมีสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่คงยังไม่สามารถกลับมาเป็นบวกได้ในเร็ว ๆ นี้
นายสถาปนะ กล่าวว่า ไม่อยากให้ผู้ลงทุนตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวมแต่เฉพาะช่วงปลายปีเพื่อหวังประโยชน์การลดภาษีเท่านั้น เพราะแทนที่จะเป็นผลดีอาจจะกลายเป็นผลเสียที่ได้ผลประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะได้รับในการลงทุนช่วงเวลาอื่นของปี และอยากให้มองเนื้อแท้ของกองทุนว่ามีความน่าสนใจอย่างไร และให้ใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการลงทุนอย่างเหมาะสม
ในปีนี้คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมานำเสนอต่อผู้ลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนรวมต่างประเทศ ซึ่งกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนั้นขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว คาดว่าคงได้เห็นความเคลื่อนไหวในเร็วๆ นี้
สมาคมฯ เปิดเผยภาพรวมธุรกิจกองทุนรวมในปี 55 ว่า มีการออกและเสนอขายกองทุนแต่ละประเภทดังนี้ กองทุนที่ลงทุนใน FIX มูลค่า 3.3 แสนล้านบาท จำนวน 704 กองทุน แต่เป็นกองทุนที่ออกมาทดแทนกองทุนเดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน 660 กองทุน, กองทุน EQ มูลค่า 1.1 แสนล้านบาท จำนวน 57 กองทุน เป็นกองทุนใหม่ 17-18 กองทุน
กองทุน PR มูลค่า 3.7 หมื่นล้านบาท เป็นกองทุนที่เปิดใหม่ 6 กองทุน, กองทุน MIX มูลค่า 2.6 หมื่นล้านบาท, กองทุนทองคำ มูลค่า 7 พันล้านบาท เป็นกองทุนเปิดใหม่ 9 กองทุน, กองทุนน้ำมัน 5 พันล้านบาท เป็นกองทุนที่เปิดใหม่ 2 กองทุน, OTH 8 พันล้านบาท เป็นกองทุนเปิดใหม่ 26 กองทุน และกองทุน PR234 ราว 1.4 พันล้านบาท