บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO ทั้งหมด 82.50 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท/หุ้น เพื่อระดมทุนมาใช้ในการชำระหนี้มูลค่า 200 ล้านบาทจากการที่บริษัทฯ เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็น 70% พร้อมทั้งชำระคืนเงินกู้กสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ขณะนี้บริษัทได้มีการโรดโชว์ให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันแล้ว 3 ราย จากสถาบันที่สนใจกว่า 10 ราย โดยจะมีกำหนดจัดโรดโชว์อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน บริษัท พรีเมียร์ ฟิชชั่น แคปปิตอล จำกัด(PFC) เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยถือหุ้นร้อยละ 84.28 ของทุนชำระแล้ว และกลุ่มสถาบันการเงินและผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นถือหุ้นในสัดส่วนรวมร้อยละ 15.72 ของทุนชำระแล้ว ทั้งนี้หลังจากการเสนอขายหุ้น IPO แล้วกลุ่ม PFC และผู้ถือหุ้นเดิมกลุ่มสถาบันการเงินจะมีสัดส่วนการถือหุ้น 61.11% และ 11.39% ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีแผนจัดตั้งกองทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานขนาดไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท โดยบริษัทมีแผนขายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 3 แห่งขายเข้าเป็นสินทรัพย์ของกองทุน โดยโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งมีมูลค่า 1.5-1.6 พันล้านบาท ผลิตไฟได้ประมาณ 15 เมกะวัตต์และมีค่า Adder ที่ 8 บาทระยะเวลา 10 ปี คาดว่าโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งจะคืนทุนภายในเวลา 5 ปีหลังจากสร้างเสร็จ
อย่างไรก็ตาม มูลค่าโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งที่บริษัทจะขายเข้ากองทุนยังต้องประเมินราคาขายอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษา เนื่องจากการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานยังมีอุปสรรคในเรื่องของภาษีอยู่ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนจากทางภาครัฐออกมา
บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 56 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% จากปี 55 ที่คาดว่ารายได้เติบโตมากว่า 50% จากที่ปี 54 ที่ทำได้กว่า 900 ล้านบาท หลังจากมองว่าแนวโน้มของธุรกิจหลักยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทคาดว่ารายได้จากธุรกิจบำบัดน้ำเสียในปีนี้จะเติบโตประมาณ 20% และธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าจะเติบโต 15%
ประกอบกับปีนี้จะรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานอาทิตย์อีก 2 แห่งในช่วงไตรมาส 2/56 จากปัจจุบันที่รับรู้รายได้เพียง 1 แห่ง โดยจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด
นายสุรเดช กล่าวว่า อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจหลักในปีนี้จะเติบโตได้ประมาณ 30% จากปีก่อน ในขณะเดียวกันในธุรกิจขายวัสดุก่อสร้างคาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 28-29% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% จากที่ปี 55 อยู่ที่ประมาณ 6%
บริษัท คาดว่าจะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง 270-300 ล้านบาท/ปี และบริษัทยังมีแผนจะเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้มากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มรายได้ของบริษัท พร้อมทั้งอยู่ระหว่างศึกษาการทำโซลาร์รูฟ ซึ่งบริษัทเป็นโอกาสที่ดีหากได้รับ Adder จากทางภาครัฐบาล โดยถ้าภาครัฐมีความชัดเจนคาดว่าจะสร้างประโยชน์ให้แก่บริษัทเพิ่มเติมได้