นายบุญชัย สุวรรณวุฒิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ PHOL กล่าวว่า มั่นใจว่าจะสามารถสานต่อนโยบายการขยายธุรกิจของคณะกรรมการบริษัทได้เป็นอย่างดี โดยในปี 2556 จะเห็นผลประกอบการของผลธัญญะเติบโตได้อย่างโดดเด่น จากธุรกิจเดิมที่มีอยู่ และธุรกิจใหม่ที่กำลังเริ่มดำเนินการอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทในปีนี้น่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปี 55 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 800 ล้านบาท สูงขึ้นจาก 720 ล้านบาทในปี 54 ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ขยายตัวได้ดี ประกอบกับกฎหมายเกี่ยวกับชีวอนามัยที่เข้มงวดขึ้น และการปรับขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทส่งผลให้คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น รวมทั้งความต้องการเป็นศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ของไทย
บริษัทยังมองหาโอกาสที่จะร่วมทุน ซื้อธุรกิจ หรือควบรวมกิจการที่จะเกิดขึ้น และยังมีการขยายธุรกิจจากธุรกิจเดิม เช่น ปีนี้บริษัทจะมีการขยายตลาดไปยังตลาดล่างมากขึ้น โดยการสร้างแบรนด์แยกออกมาต่างหาก และจ้างให้บริษัทอื่นเป็นผู้ผลิต แต่หากมีผลตอบรับที่ดี ในอนาคตอาจจะมีการตั้งโรงงานขึ้นมาเพื่อผลิตเอง
นายชวลิต กล่าวเสริมว่า บริษัทจะหันมาให้ความสำคัญกับตลาดในภูมิภาคอาเซียนมากยิ่งขึ้นตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2558 โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งนายบุญชัย สุวรรณวุฒิวัฒน์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ PHOL และแต่งตั้งนายธีรเดช จารุตั้งตรง เป็นรองประธานกรรมการบริหาร โดยทั้งคู่จะทำหน้าที่บุกเบิกตลาดในภูมิภาคอเซียนอย่างเป็นทางการ เพื่อเสาะแสวงหาธุรกิจใหม่และตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเข้ามาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับ PHOL ในอนาคต
“เชื่อว่าการปรับโครงสร้างบริหารจะทำให้เรารับมือกับ AEC ที่จะเข้ามาถึงได้อย่างแข็งแกร่ง และใช้ประโยชน์จากเขตเศรษฐกิจอาเซียนสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งล่าสุด เราเพิ่งเข้าไปแต่งตั้งบริษัทผู้แทนจำหน่ายสินค้าในประเทศพม่าอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป"นายชวลิตกล่าว
ด้านนายบุญชัย กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะได้งานจากประเทศพม่าอีก 1-2งาน โดยจะเป็นการระบบบำบัดน้ำเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค และในอนาคตยังมีประเทศลาวที่ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุน ขณะเดียวกันบริษัทได้มีการเตรียมเงินลงทุนไว้ 200 ร้อยล้านบาทเพื่อที่จะเตรียมตัวลงทุนในสัมปทานโครงการระบบน้ำในภูมิภาคด้วย
บริษัทตั้งเป้าหมายระยะยาวปี 2560 หรืออีก 5 ปีข้างหน้ารายได้จะเติบโตขึ้นมาที่ 2,500 ล้านบาท จากปี 55 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 800 ล้านบาท
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้เป็นสินค้าด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม 80% และกลุ่มสินค้าบริการด้านการควบคุมสภาพแวดล้อม 15% และกลุ่มสินค้าและบริการด้านระบบบำบัดน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค 5% แต่ในปี 60 สัดส่วนจะเปลี่ยนเป็น สินค้าด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม 45% และกลุ่มสินค้าและบริการด้านระบบบำบัดน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค 22% การควบรวมและการซื้อธุรกิจ และการร่วมทุน 20% และกลุ่มสินค้าบริการด้านการควบคุมสภาพแวดล้อม 13%