สำหรับเรื่องที่ กสทช. มีคำสั่งให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องปฏิบัติให้ได้ ได้แก่ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีสิทธิเรียกเก็บค่าบริการประเภทเสียงภายในประเทศ อัตราค่าบริการต้องไม่เกิน 99 สตางค์/นาที และค่าบริการในลักษณะเหมาจ่าย(โปรโมชั่น)เฉลี่ยแล้วต้องไม่เกิน 99 สตางค์/นาที
ก่อนหน้านี้ ซึ่ง สำนักงาน กสทช. ได้มีการแจ้งคำสั่งบังคับใช้ไปแล้วกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดทั้งสองราย แต่อย่างไรก็ตาม สำนักงาน กสทช. ได้มีการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสำรวจและวิเคราะห์หลังจากวันที่ 31 ธ.ค. 55 ที่ผ่านมา พบว่ายังคงมีรายการส่งเสริมการขายที่มีการกำหนดอัตราค่าบริการเกินกว่าอัตราขั้นสูงของค่าบริการที่ กสทช. กำหนดไว้ แยกเป็นของ AIS จำนวน 66 รายการ และเป็นของ DTAC จำนวน 33 รายการ
ทั้งนี้ ทางสำนักงาน กสทช. ได้มีหนังสือแจ้งย้ำให้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว ส่งไปให้บริษัททั้งสองแล้ว บริษัทผู้ให้บริการทั้งสองมีหน้าที่จะต้องแจ้งผลการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าบริการดังกล่าวให้เป็นไปตามที่ กสทช. กำหนด หากยังคงเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามที่กำหนด สำนักงาน กสทช. จะดำเนินการตามกฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดต่อไป
พร้อมกันนั้น ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายต้องยกเลิกวันหมดอายุในระบบสำหรับหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงิน(พรีเพด) โดยซิมการ์ดแบบเติมเงินจะไม่มีการกำหนดวันหมดอายุ และการเติมเงินไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตามจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาใดๆทั้งสิ้น
และ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายจะต้องจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยกำหนดให้ในการขอเปิดหมายเลขใหม่เพื่อใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเติมเงิน(ซิมพรีเพด)ทุกครั้ง ผู้ให้บริการทุกค่ายจะต้องเรียกเก็บข้อมูลจากผู้มาขอเปิดใช้บริการคือเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก
สำนักงาน กสทช. เข้าใจดีว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจจะเป็นการเพิ่มภาระขั้นตอนให้ประชาชน แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องขอร้องให้ประชาชนให้ความร่วมมือดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อการป้องกันความปลอดภัยและอันตรายจากมิจฉาชีพในด้านต่างๆให้กับประชาชนด้วย โดยการแสดงหลักฐานเพียงใช้บัตรประจำตัวประชาชนใบเดียวเท่านั้นในการแสดงตน ณ จุดขาย และไม่จำเป็นต้องถ่ายเอกสารหรือเก็บสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนใดๆทั้งสิ้น เพื่อให้อำนวยความสะดวกและส่งผลกระทบกับประชาชนให้น้อยที่สุด