บริษัทคาดว่ารายได้ในปีนีจะมาจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของบริษัท แกรนด์ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด ประมาณ 3,600 ล้านบาท รวมทั้งจากธุรกิจสังกะสีออกไซด์ประมาณ 1,200 ล้านบาท และอีก 290 ล้านบาทจะมาจากโครงการปาร์คเวนเชอร์ ดิ อีโคเพล็กซ์ ออน วิทยุ ที่เปิดให้บริการสมบูรณ์แบบทั้งสำนักงานเกรดเอ ที่มาผู้เช่าแล้วกว่า 80%
ในปีนี้ แกรนด์ยูนิตี้ฯ ที่ UV ถือหุ้นทั้ง 100% มีแผนเปิดโครงการใหม่มูลค่า 6 พันล้านบาท และมีงบซื้อที่ดิน 1 พันล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ประมาณ 5 พันล้านบาทในปี 57
"ทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 56 UV ยังเดินหน้าธุรกิจอสังหาฯทั้งประเภทรายได้จากการขาย(จากแกรนด์ยูฯ) และรายได้จากการเช่า (จากปาร์คเวนเชอร์) พอร์ตลงทุนไม่มีความเสี่ยงมากเกินไป พร้อมเติบโตได้อย่างมั่นคง"นางอรฤดี กล่าว
ดังนั้น ในช่วง 2 ปีนี้(ปี 56-57) UV จะมีรายได้หลักจากแกรนด์ยูนิตี้ฯ หลังจากนั้นคาดว่าจะเติบโตได้ UV จะมีการเติบโตอย่างมากหลังจากที่บมจ.แผ่นดินทอง พร๊อพเพอร์ตี้ ดีเวลอปเม้นท์(GOLD)ที่บริษัทซื้อกิจการเข้ามาจะมีผลประกอบการดีขึ้น
"เราต้องการมีความมั่นคง GOLD จะเป็นตัวแปรหลัก ว่าจะ Turnaround ได้เมื่อไร เราเห็นโอกาสใน GOLD แต่ต้องใช้เวลา" นางอรฤดี กล่าว
ส่วนแผนการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ นางอรฤดี กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะนำอาคารปาร์ค เวนเชอร์ ขายเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ภายใน 3 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีค่าเช่าในระดับที่ดีและให้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 7% รวมทั้งอัตราการเช่าที่สูง โดยปีนี้บริษัทมีแผนปรับขึ้นค่าเช่าอีกจากปัจจุบันอยู่ที่ 950 บาท/ตร.ม. มาเป็นประมาณ 1,000 บาท/ตร.ม. คาดว่าอัตราการเช่าจะเพิ่มเป็น 90-100% จากปีก่อนที่ 80%
ทั้งนี้ อาคารปาร์ค เวนเชอร์ ทั้งส่วนสำนักงานให้เช่าและโรงแรม รวมมูลค่า 4-5 พันล้านบาท
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของ UV ในปี 55 มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 70% ส่วนธุรกิจสังกะสีออกไซด์ 30%
ขณะเดียวกันนางอรฤดี ได้กล่าวถึงกรณีที่ราคาหุ้น UV และ GOLD ปรับขึ้นร้อนแรงว่า การปรับต้วขึ้นอย่างมากเป็นแรงกดดันฝ่ายจัดการ เกรงว่านักลงทุนจะคาดหวังกับบริษัทดีเกินไป ซึ่งการบริหารจัดการต้องใช้เวลา และได้เคยแจ้งกับตลาดหลักทรัพย์ว่า บริทยังไม่มีเหตุการณ์ใดเป็นสาระสำคัญ
เมื่อปลายปี 55 UV ได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน GOLD สัดส่วน 50.64% จากการทำคำเสนอซื้อ
*GOLD พลิกกำไรปี 58
ด้านนายธนพล ศิริธนชัย ผู้บริหาร UV ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานอำนวยการ บมจ.แผ่นดินทอง พร๊อพเพอร์ตี้ ดีเวลอปเม้นท์(GOLD)กล่าวว่า เป็นความท้าทายอย่างมากในภารกิจนี้ เพราะ GOLD มีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่องหลายปี และในปี 55 ก็คาดว่ายังคงขาดทุนอยู่ แต่เขื่อมั่นว่าจะพลิกฟื้นสถานะของ GOLD ได้ให้กลับมาเป็นบริษัทชั้นนำ
"ขณะนี้เรากำลังทำการศึกษาวิเคราะห์ทรัพย์สินโดยละเอียดและจัดทำแผนธุรกิจที่ขัดเจนเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการบริษัท คาดว่าจะสรุปแผนทั้งหมดได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้"นายธนพล กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าในเดือนมี.ค.56 จะสรุปแผนกลยุทธ์ธุรกิจได้ โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ปีที่จะพลิกฟื้นให้มีกำไร หรือในปี 58 ขณะที่ในปี 56 ยังคงขาดทุนต่อเนื่อง และคาดว่ารายได้ของ GOLD จะใกล้เคียงกับปี 55 ที่ 1 พันล้านบาท จากรายได้ค่าเช่าโครงการสาทรสแควร์ที่ปัจจุบันมีอัตราการเช่า 60% ขณะเดียวกัน GOLD มีขาดทุนสะสมอยู่ประมาณ 1.2-1.4 พันล้านบาท
ทรัพย์สินที่ GOLD มีอยู่ได้แก่ สนามกอล์ฟ 18 หลุม เนื้อที่ 2 พันไร่ ที่จ.นครราชสีมา โครงการสาทรสแควร์ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า พื้นที่ 73,000 ตร.ม. โครงการ Golden Building ในซอยมหาดเล็กหลวง 1 ที่ใช้เป็นสำนักงานใหญ่ด้วย พื้นที่ 11,000 ตร.ม. มีอัตราเช่าแล้ว 80-90% ส่วนเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ มี 2 แห่ง โครงการ The Ascott Sathorn Bangkok ซึ่ง GOLD ถือ 60% และ ตึกสูงที่หลังสวนโดยกองทุน Mayfair Marriott Executive ที่ GOLD ถือ 33% เป็นเจ้าของ โรงแรม W Bangkok ที่ GOLD ถือ 20% ร่วมกับกลุ่มดูไบถือ 80%
นอกจากนี้มีที่ดินบริเวณหัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนรัชดาฯเนื้อที่ 8 ไร่ เป็นพื้นที่เช่า อายุเหลือ 30 ปี โดยบริษัทมองว่าโครงการนี้มีศักยภาพ อีกทั้ง GOLD จะพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ ซึ่ง GOLD เคยดำเนินการและขายหมดไปแล้ว
"GOLD จะไม่ทำคอนโดฯ เราจะทำจากฐานที่ทำเรื่องบ้าน เราไม่ทำธุรกิจขัดแย้ง แต่จะเสริมกันมกากว่า" นายธนพล กล่าว