ที่สำคัญ CK ขายหุ้น TTW 11% ให้ BECL คาดว่าจะบันทึกกำไรประมาณ 1,700-2,200 ล้านบาทในไตรมาส 1/56 และยังเหลือหุ้นอีก 19% แต่สัดส่วนถือหุ้นที่ต่ำกว่า 20% ทำให้ CK จะไม่ได้รับรู้กำไรตามส่วนได้ส่วนเสีย แต่จะบันทึกตามราคาตลาด(Mark to Market)ซึ่ง CK มีต้นทุนหุ้น TTW ต่ำ ดังนั้นหากบันทึกก็น่าจะกำไรประมาณ 3,800-5,000 ล้านบาท ไม่ว่าจะบันทึกไปที่งบกำไรขาดทุนหรือส่วนของผู้ถือหุ้นสุดท้ายมูลค่าทางบัญชี(Book value)จะเพิ่มขึ้น และอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ต่ำลง
นอกจากนี้ CK ยังมีประเด็นการนำบริษัทย่อย CK Power เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าจะเข้าเทรดในช่วงครึ่งปีแรก(H1/56) และคาดยื่นไฟลิ่งเดือนก.พ.นี้ โดย CK จะนำหุ้นที่ถืออยู่บางส่วนออกร่วมขายด้วย พร้อมเชื่อว่าบริษัทจัดอันดับเครดิตจะปรับ rating ของ CK เพิ่มขึ้น
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 20.00 บล.ทิสโก้ ซื้อ 20.00 บล.เกียรตินาคิน ซื้อเก็งกำไร 18.50 บล.ทรีนีตี้ ซื้อ 18.00 บล.เคที ซีมิโก้ ซื้อ 19.00 บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 17.54
นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีของ CK เนื่องจากมองเป้ารายได้จะเติบโตถึง 40% เมื่อเทียบกับปี 55 คาดว่าจะมีรายได้ 2.5 หมื่นล้านบาท จากงานในมือที่เพิ่มขึ้นมา คาดปีนี้จะมีการเปิดโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย รวมมูลค่า 1.48 แสนล้านบาท ซึ่ง CK เองปัจจุบันก็มีงานรถไฟฟ้าอยู่ในมือแล้วด้วย
นอกจากนี้ การที่ CK ขาย บมจ.น้ำประปาไทย(TTW)ออกไปให้ BECL จำนวน 11% ทำให้คาดว่าจะมีการบันทึกกำไรจากการขายประมาณ 2,200 ล้านบาทในไตรมาส 1/56 และทาง CK ยังเหลือถือหุ้น TTW อยู่อีก 19% แต่สัดส่วนการถือหุ้นที่ต่ำกว่า 20% ทำให้ CK จะไม่ได้รับรู้กำไรตามส่วนได้ส่วนเสีย แต่นักลงทุนก็คลายกังวลได้เนื่องจาก CK สามารถบันทึกตามราคาตลาด(Mark to Market)ซึ่ง CK มีต้นทุนหุ้น TTW ต่ำ ดังนั้นหากบันทึกก็น่าจะกำไรประมาณ 3,800 ล้านบาท
แต่เนื่องจากขณะนี้ทาง CK อยู่ระหว่างการหารือกับผู้ตรวจสอบบัญชีว่าจะบันทึกเข้าไปที่งบกำไรขาดทุนหรือจะเข้าไปในส่วนของผู้ถือหุ้น หากบันทึกที่งบกำไรขาดทุนจะทำให้เห็น CK มีกำไรเติบโตมาก แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าไปที่ส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ดี แต่หากบันทึกที่ส่วนของผู้ถือหุ้นโดยตรงก็จะทำให้ฐานทุนของ CK เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ต่ำลง อย่างไรก็ดี สุดท้ายแล้วมูลค่าทางบัญชี(Book value)ของ CK จะเพิ่มขึ้น
อีกทั้ง CK ยังมีประเด็นการนำบริษัทย่อย CK Power เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ด้วย
ด้านนายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส ให้เหตุผลที่แนะนำ"ซื้อ"หุ้น CK เนื่องจากปีนี้เป็นวัฎจักรขาขึ้นของกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง จากงานประมูลใหญ่ของภาครัฐฯที่เข้ามามาก โดยเร็ว ๆ นี้ก็จะมีประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐฯ มูลค่าราว 3 แสนล้านบาท ซึ่ง CK ก็จะเข้าร่วมประมูล และคาดว่าจะมีส่วนในการได้งานด้วย นอกจากนี้ยังมีงานรถไฟฟ้สายสีแดงและสีชมพู อีกทั้งยังมีงานมอเตอร์เวย์ งานรถไฟความเร็วสูง ทยอยเกิดขึ้นด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นแหล่งงานให้กับ CK และเมื่องานมากการแข่งขันด้านราคาก็น้อยลง
ปีนี้ทาง CK ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 25,000-28,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 40% เมื่อเทียบกับปี 25 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 19,000 ล้านบาท มาจาก Backlog ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 150,000 ล้านบาท และปีนี้ก็คาดว่า profit margin ก็จะดีขึ้นด้วย แม้ว่าจะต้องเผชิญค่าแรง 300 บาท แต่เชื่อว่าทุกคนก็ได้รับรู้ไปในงานประมูลแล้ว แต่อาจมีเรื่องของแรงงานที่ขาดแคลน แต่เรื่องนี้ก็มีการรับคนต่างด้าวมาทดแทนได้
ทั้งนี้ ปีนี้คาดว่า CK จะมีกำไรสุทธิ 400-500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 55 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 462 ล้านบาท ซึ่งกำไรในปี 56 ยังไม่รวมในส่วนกำไรจากการขายเงินลงทุน และการนำบริษัท CK Power เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากรวมทั้งสองอย่างก็คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 2,000-2,500 ล้านบาท เนื่องจาก CK จะนำส่วนที่ถืออยู่ออกมาร่วมขายด้วย
ที่สำคัญ CK ได้ขายหุ้น TTW 11% ให้แก่ BECL คาดว่าจะบันทึกกำไรในไตรมาส 1/56 ประมาณ 2,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลืออีก 19% ก็จะบันทึกแบบ Mark to Market ตรงนี้คาดว่าจะมีกำไรเกือบ 5,000 ล้านบาท ซึ่งถ้า CK บันทึกในงบกำไรขาดทุน กำไรของ CK จะพุ่งแรง แต่ถ้าเลือกบันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้น ยังไงสุดท้ายก็จะทำให้มูลค่าทางบัญชี(Book Value)ดีขึ้น และจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ต่ำลง สุดท้ายเชื่อว่าบริษัทจัดอันดับเครดิตจะต้องต้องปรับ rating ของ CK เพิ่มขึ้น
สำหรับบริษัท CK Power เห็นว่าอยากจะเข้าเทรดในตลาดฯให้ทันในไตรมาส 1/55 และคาดว่าจะยื่นข้อมูลไฟลิ่งได้ในเดือนก.พ.นี้ ซึ่งปีนี้ถือได้ว่า CK มี Story มาก
ด้าน บล.เกียรตินาคิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อเก็งกำไร"หุ้น CK โดยได้ปรับประมาณการรายได้ปี 56 เพิ่มจากการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนของ TTW ราว 1.7 พันล้านบาท ทำให้มีกำไรสุทธิโดยรวมเพิ่มขึ้นจาก 591 เป็น 2.5 พันล้านบาท พร้อมให้มูลค่าเหมาะสมใหม่ 18.50 บาท
ทั้งนี้ คาดเห็นผลประกอบการของ CK มีกำไรสุทธิ จาก 4Q55 ที่มีบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนจากโรงไฟฟ้าบางปะอิน และบริษัท เชียงรายโซล่า ราว 200 ล้านบาท และใน 1Q56 หลังจากที่บริษัทได้มีการขายเงินลงทุนจำนวน 11% ใน TTW ให้กับ BECL โดย CK จะทำให้มีการบันทึกกำไรจากขายเงินลงทุนดังกล่าว 1.7 พันล้านบาท ซึ่งทำให้ผลประกอบการของทั้ง 2 ไตรมาส(4Q55-1Q56)มีกำไรสุทธิที่ต่อเนื่อง นอกเหนือจากการรับรู้รายได้จากการก่อสร้างที่ทาได้ดีจากอัตรากาไรขั้นต้นเฉลี่ยระหว่าง 9-10%
CK อยู่ระหว่างขั้นตอนการนำ CKP (CK Power) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะเห็นใน 2Q56 บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาสัดส่วนการถือครองหุ้นหลัง IPO (ปัจจุบันถือ 38%) โดยคาดเพิ่มทุนขาย IPO 15% ของทุนปัจจุบัน 9.2 พันล้านบาท และยังคงขยายธุรกิจพลังงานที่ไม่เป็นมลพิษกับสิ่งแวดล้อม (Green Energy) เช่นธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าการถือครองหุ้น CKP จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว