(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าแกว่ง side way อาจมีแรงขายทำกำไร

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 21, 2013 09:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักวิเคราะห์คาดแนวโน้มตลาดเช้านี้จะแกว่งตัวในกรอบแคบออกด้านข้าง โดยระหว่างวันอาจมีการเคลื่อนไหวทั้งแดนบวกและลบสลับกัน เนื่องจากตลาดปรับตัวขึ้นมาติดต่อกัน 2 วันอาจมีการขายทำกำไรออกมา และตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการ 1 วัน อาจส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุน โดยให้แนวต้านที่ 1,435-1,440 จุด และแนวรับ 1,427-1,430 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า เช้านี้มองว่าตลาดจะแกว่งตัวในกรอบแคบออกด้านข้าง ระหว่างวันอาจจะมีการเคลื่อนไหวทั้งแดนบวกและลบสลับกัน จากประเด็นที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาติดต่อกัน 2 วันอาจส่งผลให้มีการขายทำกำไรออกมาในระหว่างวัน และ dollar index เริ่มกลับมาเข็งค่าขึ้น เงินบาทเริ่มอ่อนค่าลงเล็กน้อย และในวันนี้ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการ 1 วันอาจจะทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุน

ส่วนในตลาดภูมิภาคนั้น ตลาดหุ้นไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลี ลบเล็กน้อย ส่วนฟิลิปปินส์และจีนปรับตัวขึ้น ระหว่างวันอาจจะมีทั้งบวกและลบสลับกัน

พร้อมให้แนวรับ 1,427-1,430 จุด แนวต้าน 1,435-1,440 จุด

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์คล่าสุด(18 ม.ค.)ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 13,649.70 จุด เพิ่มขึ้น 53.68 จุด(+0.39%) ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,485.98 จุด เพิ่มขึ้น 5.04 จุด(+0.34%)และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 3,134.71 จุด ลดลง 1.30 จุด(-0.04%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 4.42 จุด ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องก ลดลง 35.82 จุด ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 2.73 จุด ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ทรงตัวที่ 7,732.87 จุด ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.11 จุด ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 28.15 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(18 ม.ค.)1,434.44 จุด เพิ่มขึ้น 13.49 จุด(+0.95%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,461.23 ล้านบาท เมื่อ 18 ม.ค.56
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(18 ม.ค.)ที่ 95.56 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.07 ดอลลลาร์หรือ 0.1%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดวานนี้(18 ม.ค.) ปิดที่ 8.7 เหรียญฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิดตลาดเช้าที่ระดับ 29.71/73 แนวโน้มแข็งค่าตามภูมิภาค
  • กลุ่มอาหาร-เกษตรกระทบหนัก ผู้นำเข้าได้ประโยชน์, แนะผู้ส่งออกชะลอรับคำสั่งซื้อชั่วคราว 1-2 เดือน รอค่าเงินบาทนิ่ง พร้อมปรับกลยุทธ์รับสถานการณ์ค่าเงิน จ้างประเทศเพื่อนบ้าน ผลิต-บริหารต้นทุน-หาตลาดใหม่ ขณะแบงก์ ประเมินเอสเอ็มอีกระทบหนักเตือนเร่งประกันความเสี่ยง ห่วงขาดทุนหนักจากค่าเงินผันผวน
  • "ธปท."ยันพร้อมดูแลเงินบาทหากแข็งค่าเร็ว ลั่นเครื่องมือพร้อม ด้านแบงก์เชื่อเงินบาทยังแข็งค่าได้อีกทั้งปี เคลื่อนไหวเฉลี่ย 29 บาทต่อดอลลาร์ พบพฤติกรรมต่างชาติ ลุยลงทุนบอนด์ระยะสั้นกว่า 90% แนะ เกาะติดตัวแปรเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรป และปัจจัยการเมืองในประเทศ
  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประเมินสินเชื่อภาคครัวเรือนว่ายังขยายตัวสูงต่อเนื่องโดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกันและสินเชื่อส่วนบุคคลอื่นที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กำกับ รวมทั้งสินเชื่อเพื่อการเช่าซื้อรถยนต์ที่ได้แรงจูงใจจากภาษีรถยนต์คันแรก ยกเว้นบัตรเครดิตที่ขยายตัวลดลง
  • รายงานจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า จากการสำรวจราคาสินค้าเกษตรในพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่าราคาหมูเนื้อแดงช่วงสะโพกและไหล่ปรับราคาขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 125-130 บาท เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 120-125 บาท โดยราคาดังกล่าวไม่สะท้อนกับต้นทุนหมูเป็นหน้าฟาร์มที่ขยับราคามาอยู่ที่ กก.ละ 60 บาทซึ่งจะทำให้หมูเนื้อแดงไม่ควรขายเกิน กก.ละ 115-120 บาท
  • นายอภิชาต อนุกูลอำไพ ประธานอนุกรรมการวิชาการและวิเคราะห์โครงการคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเปิดเผยว่า ในวันที่ 22 ม.ค.นี้จะประชุมคณะกรรมการพิจารณากรอบแนวคิดทางเทคนิค-วิชาการโครงการก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่นยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย มูลค่า 3 แสนล้านบาท
  • แบงก์ยันไม่เห็นสัญญาณฟองสบู่ แม้บิ๊ก อสังหาฯ เปิดตัวโครงการอู้ฟู่ ระบุผู้ประกอบการเร่งประโคมโครงการ เพราะแรงงานขาดแคลน หวั่นไม่ทันโอน ย้ำหนี้เสียในระบบไม่ขยับอยู่เพียง 2%
  • "แบงก์ชาติ"เผยภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย เริ่มชะลอตัวลงในช่วงปลายปี 55 หลังเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงต้นปี ส่งผลความเสี่ยงการเกิด "ฟองสบู่" ในภาคอสังหาริมทรัพย์ลดลง แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น จากทั้งราคาที่ดิน วัสดุก่อสร้าง ค่าแรงที่เพิ่ม ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังต้องตามดู สินเชื่ออุปโภคที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ รวมทั้งสินเชื่อบุคคล

*หุ้นเด่นวันนี้

  • MFEC(เกียรตินาคิน)"ซื้อ"เป้า 7.50 บาท คาดผลประกอบการ 4Q55 ของ MFEC จะมีกำไรสุทธิสูงที่สุดในรอบปีและการจ่ายเงินปันผลงวดปี 2555 ได้ราว 30 สตางค์ต่อหุ้น คิดเป็น 78% ของกำไรสุทธิ และ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ 6% สำหรับระยะยาวคาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิจะทรงตัวสูงเฉลี่ย 30% ในอีก 2 ปีข้างหน้าจากความแตกต่างในการให้บริการ ปัจจุบันหุ้น MFEC ซื้อขาย PE ปี 2556 เพียง 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มสื่อสาร
  • SEAFCO(เกียรตินาคิน)"เก็งกำไร"เป้า 6.80 บาท SAA Consensus คาดกำไรสุทธิปี 2555 จะออกมาที่ราว 133 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 6 ปี และมีโอกาสจ่ายเงินปันผลในงวดที่ 2555 ได้เป็นครั้งแรกราว 0.23 บาท ขณะที่ในปี 2556 ยังคงมีแนวโน้มการรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสีเขียว ซึ่งในไตรมาสที่ 1 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ามาเต็มไตรมาส ทั้งนี้ ประเมินว่าปี 2556 กำไรสุทธิของบริษัทจะยังคงขยายตัวมาอยู่ที่ 143 ล้านบาท ในเชิงกลยุทธ์มีจุด Cut Loss ที่ 6.10 บาท
  • MAJOR(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)“ทยอยสะสม"เป้า 24 บาท คาดกำไรปกติ 4Q55 จะเติบโตทั้ง yoy และ qoq และเติบโตสูงกว่า 100% yoy เนื่องจาก 4Q54 มีฐานกำไรที่ต่ำจากผลกระทบของน้ำท่วม ตามรายได้จำหน่ายบัตรภาพยนตร์ ใน 4Q55 ที่เติบโตต่อเนื่อง และคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการปี 2556 จากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่หลายเรื่อง รวมทั้งการขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 119 โรง และการปรับขึ้นค่าโฆษณาของสื่อทีวีในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
  • BTS(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ทยอยสะสม"เป้า 8 บาท มีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นผู้บริหารรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายอีกหลายสายในอนาคต เนื่องจากการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) ที่คาดว่าจะขายในช่วงเดือน ก.พ.—มี.ค. จะสามารถระดมเงินทุนได้ถึง 5.5-6 หมื่นล้านบาท และ BTS จะมีเงินสดคงเหลือราว 3.6—4 หมื่นล้านบาท หลังหักการถือครองสัดส่วน 1 ใน 3 ของกองทุน IFF ดังนั้น จึงมีความพร้อมสูงสุด ในการลงทุนรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายอีก 2 เส้นทางที่จะเปิดประมูลในปีนี้ ได้แก่ หมอชิต—สะพานใหม่ และ แบริ่ง—สมุทรปราการ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ