สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 4.5 ปี) LB145B (อายุ 1.3 ปี) และ LB155A (อายุ 2.4 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 16,795 ล้านบาท 16,235 ล้านบาท และ 16,148 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13205A (อายุ 14 วัน) CB13307A (อายุ 91 วัน) และ CB13418B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 54,275 ล้านบาท 37,174 ล้านบาท และ 37,109 ล้านบาท ตามลำดับ
ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT138A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 1,500 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น THAI165A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 858 ล้านบาท และ หุ้นกู้ของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) รุ่น HEMRAJ16OA (A-) มูลค่าการซื้อขาย 807 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวลดลงในทุกช่วงอายุของตราสาร โดยปรับตัวลดลงในช่วง -1 ถึง -4 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ปรับตัวลดลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นการปรับตัวลดลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (US Treasury) หลังจากการเข้าซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE 4) รวมถึงความกังวลในเรื่องการขยายเพดานหนี้สาธารณะที่ยังไม่ได้ข้อสรุปจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ในประเทศสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนโยกเงินลงทุนกลับเข้าสู่ Safe Haven เช่นตลาดพันธบัตรอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้แล้ว ประเด็นในเรื่องของกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) ที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย และตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี ก็มีผลทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งในประเด็นนี้ยังมีผลทำให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 39,320 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการซื้อสุทธิ 5,076 ล้านบาท ทางด้านของนักลงทุนรายย่อย ถึงแม้จะมีสัดส่วนของการซื้อชายตราสารหนี้ในตลาดค่อนข้างน้อย แต่ในสัปดาห์นี้ยังคงมียอดซื้อสุทธิ 181 ล้านบาท