"ตอนนี้รัฐบาลกำลังนำนโยบายส่งเสริมเข้า ครม. คิดว่าปลายปีนี้เราจะตัดสินใจได้" นายวิบูลย์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนจะก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในปี 57 งบลงทุน 2.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 2 เฟส เฟสละ 7.5 หมื่นตัน งบลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้างแต่ละเฟสประมาณ 2-3 ปี
นายวิบูลย์ กล่าวว่า แม้ว่าประเทศมาเลเซียจะเสนอให้เงินช่วยเหลือการลงทุนเริ่มต้น การสนับสนุนด้านพลังงานและวัตถุดิบ รวมทั้งการยกเว้นภาษี 10 ปี แต่บริษัทคงเลือกตั้งโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ที่ประเทศไทยเป็นลำดับแรกก่อน โดยมองพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก ส่วนวัตถุดิบจะซื้อจากโรงงานน้ำตาลในประเทศ
ทั้งนี้ เหตุผลที่เลือกประเทศไทยก่อนเพราะมีแหล่งวัตถุดิบทั้งอ้อยและมันสำปะหลัง รวมทั้งต้นทุนขนส่งไปตลาดส่งออกมีราคาถูก และจะช่วยทำให้ประเทศไทยกลายเป็น Hub ของตลาดพลาสติกชีวภาพ โดยตลาดเอเชียเหนือเป็นตลาดหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และ จีน คาดว่าเมื่อตั้งโรงงานแห่งที่ 2 จะทำให้บริษัทมีสัดส่วนในตลาดเอเชียถึง 50% จากปัจจุบันมีสัดส่วนตลาดเอเชีย 30% สหรัฐอเมริกา 45% และ ยุโรป 25%
นายวิบูลย์ กล่าวว่า บริษัท NatureWorks LLC มียอดขายเติบโตปีละ 20% ปัจจุบัน ทั่วโลกมีกำลังการผลิตพลาสติกชีวภาพ 7 แสนตัน หรือคิดเป็น 0.1% ของพลาสติกทั้งหมด และคาดว่าในปี 58 จะมีปริมาณการผลิตพลาสติกชีวภาพเพิ่มเป็น 1.7 แสนตัน หรือคิดเป็น 1%ของตลาดพลาสติกโดยรวม นอกจากนี้ ราคาพลาสติกชีวภาพสามารถแข่งขันกับพลาสติกทั่วไปและพลาสติกชนิด PET ได้
บริษัท NatureWorks LLC เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ถือ50% และ บริษัท Cargill จากสหรัฐอเมริกา ถือ 50% โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่สหรัฐอเมริกา กำลังการผลิต 1.5 แสนตัน/ปี ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก โดยใช้เครื่องหมายการค้า"Inego" และในวันนี้ ได้เปิดตัวบริษัท NatureWorks Asia Pacific จำกัด ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพ