ในปี 56 คาดจะเปิดโครงการใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่ารวม 4 พันล้านบาท เน้นที่อยู่อาศัยแนวสูง อย่างคอนโดมิเนียม ซึ่งปีนี้จะเพิ่มเป็น 20-25% จากเดิม 15% เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยแนวสูงเพิ่มขึ้น
ปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คือการฟื้นตัวของภาคบริการภาคประชาชน การลงทุนของภาครัฐ อีกทั้งการขยายการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่น ตลอดจนการเตรียมตัวรับ AEC ในอนาคต เป็นแรงผลักดันให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดขยายตัวเพิ่มขึ้น
นายไชยยันต์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดิน 900-1,000 ล้านบาทสำหรับขยายโครงการใหม่ 8-10 โครงการ รวมมูลค่า 4 พันล้านบาท โดยปัจจุบันมีที่ดินอยู่แล้ว 4-5 แปลง โดยโครงการใหม่จะเปิดในต่างจังหวัด 3-5 โครงการ มูลค่ารวม 2 พันล้านบาท เน้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะทำโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์
ปัจจุบัน บริษัทมียอดรอโอน(backlog) 950 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ทั้งหมด
ในปี 56 คาดว่า อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงจากปี 55 ที่มี 38-40% เนื่องจากต้องการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันจึงยอมตัดกำไรบางส่วน แต่อย่างไรก็ดี ในปีนี้บริษัทจ่ายภาษีนิติบุคคลลดลงตามนโยบายส่งเสริมของรัฐบาล และคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปี 56 จะเพิ่มขึ้นจากปี 55 ที่อยู่ในระดับ 15% เนื่องจากมีการขยายโครงการมากขึ้น
"อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ลดลง เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ค่าแรงและวัสดุก่อสร้าง รวมถึงค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ เราก็เลยต้องยอมลดอัตรากำไรขั้นต้น แต่เราจะเพิ่ม bottom line จากการขยายธุรกิจที่เพิ่มขึ้น กำไรก็ต้องเพิ่มขึ้น"นายไชยยันต์ กล่าว
ส่วนราคาบ้านคาดว่าปีนี้จะปรับขึ้นประมาณ 3-5% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งค่าแรง และ วัสดุก่อสร้าง ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยการปรับขึ้นจะสอดคล้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมที่ปรับขึ้นราคา 3-5% เช่นกัน