"ฟิทช์"คงอันดับเครดิต TOP ที่ ‘AA-(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 23, 2013 15:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของ บมจ. ไทยออยล์ (TOP) ที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha)) แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกัน ฟิทช์คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของบริษัทฯที่ระดับ ‘F1+(tha)’ และคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯที่ระดับ ‘AA-(tha)’ (AA ลบ (tha))

อันดับเครดิตระยะยาวของบริษัทฯ ได้มีการพิจารณารวมถึงการปรับอันดับเครดิตขึ้นหนึ่งอันดับจากอันดับเครดิตของ บริษัทฯเมื่อพิจารณาตัวบริษัทฯโดยลำพังเอง (Stand-alone Rating) ซึ่งการปรับดังกล่าวเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมโยงของบริษัทฯกับ บมจ. ปตท. (ซึ่งมีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ระดับ AAA(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญทางด้านกลยุทธ์ของบริษัทฯที่มีต่อ ปตท. และการดำเนินงานที่เกี่ยวโยงกัน นอกเหนือจากการที่ ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 49 บริษัทฯเป็นโรงกลั่นที่สำคัญในกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันที่เป็นบริษัทในเครือของ ปตท. รวมถึงเป็นผู้ขายน้ำมันสำเร็จรูปหลักให้กับธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของ ปตท. อีกด้วย โดยปริมาณน้ำมันที่ขายให้แก่ ปตท. คิดเป็นร้อยละ 58 ของความต้องการน้ำมันทั้งหมดในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของ ปตท. ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555

อันดับเครดิตของบริษัทฯ สะท้อนถึงการมีขนาดการผลิตที่ใหญ่เมื่อเทียบกับโรงกลั่นน้ำมันอื่นๆในประเทศ รวมถึงการมีกระบวนการกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปชนิดที่มีมูลค่าสูงได้ในสัดส่วนที่สูงโดยมีต้นทุนการผลิตต่ำ การพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตอย่างต่อเนื่องและการมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงเพิ่มขึ้นยังช่วยทำให้บริษัทฯรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆในภูมิภาคเดียวกันได้อีกด้วย

นอกจากนี้การที่บริษัทฯมีการขยายสายการผลิตต่อเนื่องไปยังการผลิตอะโรเมติกส์ น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและผลิตภัณฑ์โซลเว้นท์ยังเป็นการเพิ่มระดับการผลิตแบบครบวงจร และลดความผันผวนของส่วนต่างระหว่างรายได้กับต้นทุน

ฟิทช์คาดว่าบริษัทฯจะมีรายได้จากธุรกิจการผลิตไฟฟ้ามากขึ้นตั้งแต่ปี 2559 เมื่อโรงไฟฟ้า 2 โรงเริ่มทำการผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตามสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายในธุรกิจไฟฟ้าจะยังไม่สูงมากนัก โดยคาดว่าจะไม่เกินร้อยละ 8 ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทฯ ในปี 2559

บริษัทฯมีแผนใช้จ่ายลงทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2556 ถึง 2559 จากค่าใช้จ่ายลงทุนเฉลี่ยต่อปีที่ 3.9 พันล้านบาทในช่วงปี 2552-2554 มาเป็นค่าใช้จ่ายลงทุนทั้งหมด 28.7 พันล้าน ซึ่งจะใช้ในการสร้างโรงไฟฟ้า การพัฒนาประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการผลิตรวมถึงโครงการการปรับปรุงหน่วยกลั่นน้ำมัน ฟิทช์คาดว่าบริษัทฯจะใช้เงินจากการกู้ยืมและกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่ายลงทุนเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (funds flow from operations (FFO) adjusted net leverage) น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1.25 เท่า ในช่วงปี 2556-2559 โดยฟิทช์คาดว่าบริษัทฯจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผลที่เป็นบวกในช่วงเวลาดังกล่าว ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทฯมีอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวที่ระดับ 0.9 เท่า

อันดับเครดิตของบริษัทฯ ยังพิจารณารวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของวัฏจักรของธุรกิจ นอกจากนี้บริษัทฯยังมีความเสี่ยงจากการที่บริษัทมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียวและพึ่งพาตลาดภายในประเทศเพียงรายเดียวเป็นหลัก อย่างไรก็ตามความเสี่ยงจากการที่บริษัทฯมีการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมส่วนใหญ่ให้กับปตท. (ร้อยละ 43 ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในปี 2554) ได้ถูกบรรเทาลงจากการที่ปตท.มีอันดับเครดิตที่แข็งแกร่ง และเป็นผู้ดำเนินธุรกิจรายใหญ่ในการจัดจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย นอกจากนี้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความเสี่ยงจากการที่ประเทศไทยต้องพึ่งพาแหล่งน้ำมันดิบจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงอีก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ