บล.ทิสโก้ แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นจีน เหตุศก.โตเร็ว-หุ้นราคาถูก

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 24, 2013 14:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ กล่าวว่า จากภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว และปัจจัยสนับสนุนการจากเคลื่อนย้ายสภาพคล่อง(Fund Flow)ทั่วโลก ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยสภาพคล่องส่วนใหญ่จะไหลออกจากตลาดพันธบัตรเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้ปี 56 การลงทุนในตลาดหุ้นยังคงเป็นการลงทุนที่จะช่วยตอบโจทย์การสร้างความมั่ง และสร้างผลตอบแทนในระดับน่าพึงพอใจ โดย Fund Flow ทั่วโลกได้ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง (Risky Asset) มากขึ้น เพราะสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่สูง ขณะที่ผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรให้ผลตอบแทนในระดับต่ำหรืออาจจะติดลบได้

สำหรับตลาดหุ้นที่น่าสนใจแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็นอันดับแรก คือ ตลาดหุ้นจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มี Fund Flow ไหลเข้ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ต้นปี อีกทั้งเศรษฐกิจของจีนมีการขยายตัวที่โดดเด่น เห็นได้จากการประกาศตัวเลขล่าสุดที่ระบุว่าเศรษฐกิจในปี 55 มีการเติบโตสูงถึง 7.8% อีกทั้งดัชนีชี้นำต่าง ๆ ก็มีสัญญาณที่เป็นบวก ซึ่งจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจของจีนในปีนี้จะยังมีการขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ประกอบกับราคาหุ้นจีนยังอยู่ในระดับที่ถูกว่าราคาหุ้นภูมิภาคเอเชียเฉลี่ยถึง 30% และถือว่าถูกเมื่อเทียบกับสัญญาณทางเศรษฐกิจที่เติบโตโดดเด่น

การลงทุนในตลาดหุ้นที่น่าสนใจรองลงมา คือ ตลาดหุ้นเอเชีย แปซิฟิก(ไม่นับรวมญี่ปุ่น)ด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีการเติบโตแข็งแกร่ง อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง แต่ด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง แนะนำให้รอจังหวะซื้อในช่วงที่ตลาดหุ้นย่อตัว

ด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนที่สุด เนื่องจากจะได้ปรับประโยชน์จาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นที่มีการนำเข้าทองคำสูงที่สุด รวมถึงความต้องการทองคำของธนาคารกลางในประเทศต่าง ๆ ที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง จะเป็นแรงสนับสนุนให้ราคาทองคำในอนาคตจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้อีก โดยในปีนี้ประเมินราคาทองคำในตลาดโลกไว้ที่ 1,850 ดอลลาร์สหรัฐ/อนซ์

นายกำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 56 เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากปีที่แล้ว โดยเศรษฐกิจในประเทศสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นจากการคลายความกังวลเรื่องหน้าผาทางการคลังที่มีพัฒนาการที่ดีขึ้นถึงแม้จะยังจัดการได้ไม่เสร็จสมบูรณ์ เกี่ยวกับปัญหาการลดรายจ่าย และการขึ้นเพดานการก่อหนี้ภาครัฐ คาดว่าคงต้องรอจนถึงช่วงไตรมาส 2/56

อย่างไรก็ตาม ภาคเศรษฐกิจแท้จริงของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ และการใช้จ่ายภาคเอกชน โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเห็นชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และน่าจะทำให้เศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวได้ในระดับที่สูงกว่า 2%

ด้านเศรษฐกิจในยูโรโซนนั้น แม้ช่วงหลังความผันผวนจะลดลง แต่ความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างล่าช้า ซึ่งอาจส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจยังมีความเปราะบางต่อเนื่อง โดยความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจยุโรปที่ควรจับตามองในระยะใกล้คือ การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของอิตาลี ซึ่งจะมีขึ้นประมาณวันที่ 24-25 ก.พ.นี้ หากนายมาริโอ มอนตี ไม่ได้รับคัดเลือกเป็นรัฐบาลสมัยที่สองอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ โดยรวมเศรษฐกิจของยูโรโซนมีความเป็นไปได้ที่จะหดตัวต่อเนื่องตลอดครึ่งปีแรกนี้ ก่อนจะเริ่มมีการหยุดหดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

เศรษฐกิจจีน การฟื้นตัวเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจน โดยล่าสุดจีนได้ประกาศตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4/55 เติบโตสูงถึง 7.9% ขณะที่ตัวเลขจีดีพีทั้งปีเติบโต 7.8% ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าที่ทางการจีนได้ประมาณการไว้ที่ 7.5% โดยภาพรวมมีการลงทุนภาคเอกชนเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก การส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัว ตามสภาวะที่เศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐซึ่งเน้นพัฒนาความเป็นเมืองตามการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยภาพรวม Deutsche Bank ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนปีนี้น่าจะขยายตัวต่อเนื่องที่ระดับไม่ต่ำกว่า 8%

ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ 4.5% โดยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ภาคการส่งออกน่าจะฟื้นตัวได้เล็กน้อย สำหรับการลงทุนภาครัฐ เรามองว่ายังมีความเสี่ยงในการลงมือสร้างและการเบิกจ่ายที่ล่าช้า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเรามองว่าจะเร่งตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3.3% โดยมีสาเหตุจากการเร่งตัวขึ้นของราคาอาหาร อัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75% จนถึงครึ่งปีแรก และมีความเป็นไปได้ว่าจะปรับขึ้น 0.50% ในครึ่งปีหลัง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ