สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 4.5 ปี) LB15DA (อายุ 2.9 ปี) และ LB155A (อายุ 2.4 ปี) มีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 20,005 ล้านบาท 12,895 ล้านบาท และ 11,971 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13212A (อายุ 14 วัน) CB13221C (อายุ 28 วัน) และ CB13425B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 41,634 ล้านบาท 34,106 ล้านบาท และ 30,298 ล้านบาท ตามลำดับ
ทางด้านหุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT14DA (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 1,005 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น THAI165A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 718 ล้านบาท และ หุ้นกู้ของบริษัท เมอร์เซเดส — เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น MBTH14DA (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 602 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตราสารอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง +1 ถึง +4 Basis Point (100 Basis point มีค่าเท่ากับ 1%) และปรับลดลงในตราสารอายุ 1 เดือน ประมาณ -2 Basis Point โดยอัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในตราสารระยะกลางถึงระยะยาว ส่วนหนึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่นักลงทุนบางกลุ่มเริ่มปรับกลยุทธ์การลงทุนโดยการขายตราสารระยะยาวออกมาบางส่วน ตามความกังวลในเรื่องของพันธบัตรที่จะออกใหม่ในปีนี้ (Supply) ซึ่งอยู่ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง และอาจมีโอกาสทำให้ Yield ของตราสารระยะยาวปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต (ราคาตราสารหนี้ปรับตัวลดลง) ในขณะที่ Yield ของตราสารระยะสั้นปรับตัวลดลง (ราคาตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น) ตามแรงซื้อโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้นักลงทุนกำลังเฝ้าจับตาว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการประกาศใช้มาตรการหรือนโยบายการเงินเพื่อดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนี้หรือไม่ หลังจากเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจนเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 18,606 ล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี) จะพบว่าเป็นการซื้อสุทธิ 1,138 ล้านบาท ทางด้านของนักลงทุนรายย่อย ถึงแม้จะมีสัดส่วนของการซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดค่อนข้างน้อย ซึ่งในสัปดาห์นี้มียอดขายสุทธิ 230 ล้านบาท