ส่วนผลการดำเนินงานในปี 55 มีการเติบโตสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของตลาดสินเชื่อรวม โดยครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 30% มียอดรายได้รวมอยู่ที่ 31,182 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 13.7% ยอดสินเชื่ออยู่ที่ 468,301 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 8.7%
นายพัชร กล่าวว่า จากการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจการเกษตร เฟอร์นิเจอร์ไม้ สิ่งทอ และพลาสติก ที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น ทั้งนี้ มีหลายจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวค่อนข้างรุนแรง อาทิ จังหวัดในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้
ดังนั้น ธนาคารจึงเตรียมมาตรการช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบัน 3 เรื่อง ประกอบด้วย การแบ่งเบาภาระทางการเงิน ให้ลูกค้าสามารถพักชำระเงินต้นได้ 6 เดือน(Grace Period) เพื่อให้ลูกค้ามีเวลาในการปรับตัวจากต้นทุนค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มเงินทุนให้กับธุรกิจ สำหรับลูกค้าที่ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อใช้ในธุรกิจ ด้วยวงเงินสินเชื่อสูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนที่มีอยู่ และการสนับสนุนสินเชื่อการลงทุนด้านเครื่องจักรเพื่อทดแทนการใช้แรงงานบางส่วน โดยลูกค้าสามารถผ่อนชำระแบบบอลลูนได้ ให้สามารถผ่อนน้อยในช่วงแรกและไปผ่อนมากในช่วงที่สถานการณ์ดีขึ้น
นอกจากนั้น ธนาคารยังเตรียมรุกตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อให้นักธุรกิจภูมิภาคสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบเพิ่มมากขึ้น พร้อมอยู่เคียงข้างลูกค้าในทุกสถานการณ์ ด้วยการสนับสนุนผู้ประกอบการ 3 ด้าน ได้แก่ เงินทุน องค์ความรู้ และการสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายธุรกิจ อาทิ การจัดสัมมนา การจับคู่ธุรกิจให้ลูกค้าในต่างจังหวัดได้มีโอกาสพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทางธุรกิจ
สำหรับการรุกตลาดต่างจังหวัดด้วยกลยุทธ์การตลาดท้องถิ่น ได้กำหนดจังหวัดยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพใน 5 ภาค รวม 31 จังหวัด ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก พิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี สกลนคร ร้อยเอ็ด ภาคใต้ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต สงขลา ชุมพร นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง ภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ระยอง จันทบุรี ภาคกลาง ได้แก่ อยุธยา สมุทรสาคร สุพรรณบุรี นครปฐม อุทัยธานี เพชรบุรี นครสวรรค์ ลพบุรี และราชบุรี