นายอาลักษณ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ ECF เปิดเผยว่า บริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 20 ล้านหุ้น ราคาที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท โดยมีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเมนท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อนำเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน และซื้อเครื่องจักรเพิ่ม วงเงินราว 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยเพิ่มในเฟสแรก 70-80 ล้านบาท เชื่อว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานได้ 40% ต่อปีเมื่อลงทุนครบทุกเฟสแล้ว
"บริษ้ทจะเริ่มโรดโชว์ให้ข้อมูลกับนักลงทุน 9 จังหวัดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ได้แก่ ชลบุรี ระยอง ราชบุรี พิษณุโลก หาดใหญ่ นครราชสีมา เชียงใหม่ ขอนแก่น และกทม."นายอาลักษณ์ กล่าว
บริษัทตั้งเป้าปี 56 จะมีรายได้ 1.3 พันล้านบาท เติบโต 20% จากปี 55 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 1.1 พันล้านบาท หลังจาก 9 เดือนแรกของปี 55 มีรายได้ 770 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 3.77% คาดว่าจะเพิ่มเป็น 5-7% ในปี 56 โดยขณะนี้บริษัทมีงานในมือ(Backlog)มากกว่า 500 ล้านบาท หรือเกินกว่า 50% ของเป้าหมายรายได้ไปแล้ว เนื่องจากบริษัทเป็นที่ยอมรับในวงการเฟอร์นิเจอร์ของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยอดขายของบริษัทติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ
ประกอบกับ การปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท/วันทั่วประเทศ ส่งผลให้บริษัทขนาดกลางและเล็กที่ผลิตเฟอร์นิเจอร์อาจต้องปิดตัวลงไป น่าจะทำให้คำสั่งซื้อในส่วนนั้นไหลมาที่บริษัทแทน
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนรายได้ และยอดขายจากต่างประเทศ ประมาณ 60% มาจากการส่งออกไปยังญี่ปุ่น สหรัฐ ยุโรป และตะวันออกกลาง ขณะที่การขายในประเทศอยู่ที่ 40% แต่มองว่าการพึ่งพารายได้จากต่างประเทศมีปัจจัยแวดล้อมมากมาย ยากต่อการควบคุม
ดังนั้น บริษัทจึงจะหันมาเจาะตลาดในประเทศ ด้วยการขยายช่องทางจำหน่ายในประเทศผ่านร้านโมเดิร์นเทรด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและรองรับความต้องการได้ทั่วถึงมากขึ้น รวมทั้งเจาะตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยตั้งเป้าปรับสัดส่วนรายได้เป็น 50:50 ภายในปี 57
"ขณะนี้บริษัทได้เข้าไปหาร้านค้าปลีกในพม่าเพื่อส่งสินค้าไปวางจำหน่ายแล้ว ส่วนมาเลเซีย มีโรงงานเฟอร์นิเจอร์มากแล้ว จึงเน้นที่การขายวัตถุดิบมากกว่า ขณะที่ฟิลิปปินส์เป็นการจำหน่ายผ่านพ่อค้าคนกลางไปจัดจำหน่ายเอง ทั้ง 3 ประเทศที่เจาะเข้าไปเพื่อรองรับการเปิด AEC"นายอาลักษณ์ กล่าว
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาในระดับนี้ยังส่งผลต่อบริษัทไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงค่าเงินบาทไว้แล้ว แต่หากแข็งค่าไปมากกว่านี้ อาจจะมีผลกระทบต่อบริษัทได้