สำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/55 ที่กำลังจะประกาศออกมาจะเป็นไตรมาสที่มีกำไรสูงสุดของปี เพราะโอเปอเรชั่นดีขึ้น จำนวนพนักงานลดน้อยลง และอัตราของเสียเฉลี่ยของบริษัทลดลงเหลือ 5% กว่า จาก 7-8% เป็นผลจากเครื่องจักรใหม่ ประกอบกับ โรงงาน KCE Tech ที่อยุธยาถึงจุดคุ้มทุนแล้วและในไตรมาส 4/55 มีกำไร
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังผลิตอยู่ที่ 7 แสนตร.ฟุต/เดือน และคาดว่าสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกในระดับหนึ่ง แต่ในปีนี้ออร์เดอร์จากลูกค้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทมีความจำเป็นต้องสร้างโรงงานแห่งใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ซึ่งเคยมีแผนเดิมจะสร้างอยู่แล้ว แต่เนื่องจากน้ำท่วมปลายปี 54 ทำให้ต้องชะลอออกไป
บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณางบลงทุนในปีนี้ ซึ่งโดยรวมจะใช้สำหรับปรับปรุงเครื่องจักร ส่วนการก่อสร้างโรงงานใหม่เบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้เงินราว 200-300 ล้านบาทในปีแรก โดยจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทที่มีปีละ 500-600 ล้านบาท และกำไรของบริษัทในแต่ละปี บริษัทยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะจะเป็นการทยอยสร้างเป็นเฟสๆ
"ไตรมาส 3/56 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ ช่วงนี้ขอดูเศรษฐกิจโลก ดูออร์เดอร์ แต่ดูแนวโน้มแล้วต้องขยาย เพราะถ้าได้ลูกค้ารายใหญ่ๆ อย่าง คอนติเนนตัล และบ็อช ที่ให้เราผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ถ้าลูกค้า 2 รายนี้ส่งออเดอร์เข้ามาเยอะก็ต้องขยาย...ตอนนี้ค่ายโตโยต้าก็สนใจจะสั่งออร์เดอร์เราแล้ว"นายปัญจะ กล่าว
"การขยายโรงงาน จะไม่เพิ่มทุน แต่จะสร้างเป็นโรงงานไว้ก่อน จากนั้นจะมีเฟส 1-2-3 โดยเฟสแรกเริ่มที่ 4-6 แสน ตร.ฟุต/เดือน และจะขยายไปเรื่อยๆ จนถึง 1 ล้าน ตร.ฟุต/เดือน"นายปัญจะ กล่าว
สำหรับปัญหาเงินบาทแข็งค่าในขณะนี้นั้น บริษัทไม่ได้กังวล เพราะเชื่อว่าไม่ได้กระทบต่อในส่วนที่มีรายได้เป็นเงินสกุลดอลลาร์ เนื่องจากบริษัทได้ทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้แล้ว นอกจากนั้น บริษัทพยายามเลือกลูกค้าที่มีอัตรากำไร(มาร์จิน)สูงในการรับงาน โดยต้องได้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 10% ปลายๆ ไม่ต่ำกว่านี้