การจัดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจของบริษัทกระจายความเสี่ยงของแหล่งที่มาของรายได้จากธุรกิจต่างๆ ซึ่งได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการสร้างกระแสเงินสด โดยเฉพาะในช่วงที่สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจปิโตรเคมีมีความท้าทายในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา รายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์และ ธุรกิจกระดาษอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งน่าจะช่วยลดผลกระทบจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในปี 2556 ในขณะเดียวกันสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ของธุรกิจปูนซีเมนต์และธุรกิจวัสดุก่อสร้างน่าจะเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 39 ในปี 2554 และช่วยบรรเทาผลกระทบจากลักษณะความเป็นวัฏจักรของธุรกิจปิโตรเคมีได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
สถานะความเป็นผู้นำในแต่ละธุรกิจหลักของบริษัทฯ ซึ่งได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมี ธุรกิจปูนซีเมนต์ ธุรกิจกระดาษ และธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เป็นปัจจัยหลักที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯ น่าจะยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจ PVC ปูนซีเมนต์ กระดาษ รวมถึง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ในประเทศไทย ได้ในอีกห้าปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทฯมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง รวมถึง อุปสรรคทางการตลาดที่สูงที่ผู้ประกอบการรายใหม่ต้องเผชิญในการเข้ามาแข่งขันในธุรกิจดังกล่าว
ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของ SCC จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2556 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าจากการปรับตัวสูงขึ้นของ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของธุรกิจปิโตรเคมีในครึ่งหลังของปี 2556 รวมถึงกำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์และ ธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 ทั้งนี้ความรวดเร็วในการฟื้นตัวของ ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบในธุรกิจปิโตรเคมีจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนด อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของ SCC ในปี 2556 โดยในปี 2555 อัตราส่วนกำไรที่อยู่ในระดับต่ำของธุรกิจปิโตรเคมีได้ส่งผลให้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ต่อยอดขายของ SCC ลดลงเป็น ร้อยละ 8.4 ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2555 จากร้อยละ 9.5 ของทั้งปี 2554