ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ในวันที่ 4-6 ก.พ.56 และจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 14 ก.พ.56 ใช้ชื่อย่อ PPP เงินที่ระดมได้จากการขายหุ้นจะนำมาลงทุนขยายธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์และเป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตในอนาคต
"เราเชื่อมั่นว่าหุ้นPPPจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังการเข้าซื้อ-ขายวันแรก เนื่องจากมีหุ้นหลายตัวที่เป็นธุรกิจไฟฟ้าหลายตัวเข้ามาในตลาดได้รับการตอบรับที่ดีแก่นักลงทุน ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มมากกว่าราคา IPO อีกทั้งยังมี hot moneyที่เข้ามาจะช่วยให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น" นายสุรเดช กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมองว่าหุ้น PPP จะเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูง(Growth Stock) ถ้าหากพิจารณาแนวโน้มของธุรกิจที่เติบโตตามสภาพตลาด ยกเว้นธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ราคาขายไฟฟ้าทรงตัว แต่ก็มีการเติบโตที่ดีในระยะยาว
นายสุรเดช กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 56 เติบโตอยู่ที่ 20% โดยเฉพาะจากธุรกิจระบบบัดน้ำเสียมีแนวโน้มการเติบโตมากกว่าธุรกิจอื่น เนื่องจากประชาชนเริ่มให้ความสนใจและตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีการบำบัดน้ำเสียที่เกิดจากครัวเรือนกลับมาใช้ใหม่ อีกทั้งธุรกิจท่องเที่ยวอีกหลายแห่งเริ่มหันมาใช้ระบบบำบัดน้ำเสียมากขึ้นเพื่อนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวบางแห่งขาดน้ำ ทำให้เจ้าของธุรกิจท่องเที่ยวมีความจำเป็นต้องพึ่งพาระบบบำบัดน้ำ
ด้านธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งที่ 2 และ 3 ใน จ.สระบุรี จะเริ่มเปิดดำเนินการและจำหน่ายไฟฟ้าในไตรมาส 2/56 ขนาดโครงการละ 5 เมกกะวัตต์ รวม 10 เมกกะวัตต์ โดยจะจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นในปีนี้ และสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว หลังจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โรงแรกเปิดดำเนินการและจำหน่ายไฟฟ้าไปเมื่อปีที่แล้ว
บริษัทมีเป้าหมายจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 30% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนอัตรากำไรสุทธิจะรักษาให้อยู่ในระดับ 5-7% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยปีที่ผ่านมาเช่นกัน
ส่วนปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจในปี 56 น่าจะเป็นปัญหาเงินบาทแข็งค่ามีกระทบต่อการส่งออก โดยบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกราว 7% ของรายได้ราว โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้างที่ส่งออกไปจำหน่ายที่ออสเตรเลียและญี่ปุ่น แต่บริษัทก็ได้ทำประกันความเสี่ยงค่าเงินไว้เพื่อป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้นมีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทฯเล็กน้อย
นายสุรเดช กล่าวว่า การขยายตลาดในต่างประเทศของบริษัทฯในปีนี้จะเน้นการตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพม่าและเวียดนามที่จะเข้าไปจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ในปีนี้จะเริ่มเห็นรายได้จากการเข้าไปจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างในประเทศเวียดนามเข้ามาหลังจากการสำรวจตลาดมาเป็นระยะเวลา 1 ปี ส่วนพม่าปีนี้จะเริ่มทยอยมีรายได้เข้ามาเช่นกัน แต่คงยังไม่มากนัก
ด้านนางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ หัวหน้าฝ่ายวานิชธนกิจ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)มั่นใจว่าหุ้น IPO ของพรีเมียร์ โพรดักส์ จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และธุรกิจที่เติบโตดีต่อเนื่อง สำหรับการกำหนดราคา IPO ที่ 5 บาท/หุ้นนั้นทำหลังจากสำรวจความต้องการของนักลงทุนสถาบันที่มีความต้องการจองซื้อล้นกว่า 19 เท่า